ที่ยังรู้สึกว่าชีวิตไม่มีเป้าหมาย อาจเป็นเพราะไม่เคยตั้งคำถาม..


ช่วงที่ผ่านมา ผมเห็นโพสต์ทำนองว่า.. “ไม่รู้เป้าหมายชีวิตตัวเองคืออะไร” “รู้สึกเหมือนหาตัวเองไม่เจอ” หรือ “อายุจะ 30 แล้ว ยังไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตเลย” ข้อความเหล่านี้อาจดูเหมือนบ่นธรรมดาๆ ใช่ไหมครับ แต่ผมว่าในความจริง มันคือ “เสียงในใจ” ของคนจำนวนมากในยุคนี้

ที่นอกจากไม่มีเป้าหมายแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มหาอย่างไรดี…



ทำไมเราจึง “ไม่รู้” เป้าหมายของตนเอง?

คำตอบสั้นๆ คือ เพราะเราไม่ได้หยุดฟังตัวเอง.. ไม่ได้นั่งคุยกับตัวเองอย่างจริงจัง.. หรือไม่เคยสำรวจตัวเอง.. เพื่อค้นหาสิ่งที่สร้างความหมาย สร้างแรงผลักดัน และสร้างความสุขให้กับชีวิตของเราอย่างแท้จริงครับ

และอีกหนึ่งความเชื่อผิดๆ คือ เมื่อพูดถึงคำว่าเป้าหมาย คนทั่วไปมักเข้าใจไปว่ามันคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ (เช่น “เป็นหมอ → ร่ำรวย → มีชื่อเสียง — แต่เป้าหมายในบริบทนี้ ไม่ใช่ “เป้าหมายระยะยาวที่ใหญ่โต” แต่คือการมี “ทิศทางหรือมีความหมาย” เป็นเป้าหมายที่ให้ความรู้สึก “มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง”

งานวิจัยทางจิตวิทยาชี้ว่า “การมีเป้าหมายที่นำทาง” (goal-directed behavior) ไม่ได้เป็นเพียงการวางแผนชีวิตเท่านั้น แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญของ ความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจ (psychological well-being) อีกด้วย

หลักฐานจากงานวิจัย:

  • Hill et al. (2016) ระบุว่า ผู้ที่มีความชัดเจนใน “เป้าหมายชีวิต” มักมีความสุขมากขึ้น มีความพึงพอใจในชีวิต และมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น (Hill & Turiano, 2014)
  • การไม่มีเป้าหมาย อาจทำให้คนรู้สึก ว่างเปล่า ไร้ทิศทาง หรือ ขาดแรงจูงใจ ซึ่งสัมพันธ์กับระดับของภาวะซึมเศร้าและความเครียดที่สูงขึ้น (Bronk, 2014)

หลักการของ Social and Emotional Learning (SEL) โดย CASEL ช่วยให้เราเข้าใจและสร้างเป้าหมายได้ลึกขึ้น ผ่าน 3 ทักษะสำคัญ:

1. Self-Awareness

การรู้จักตนเอง เป็นพื้นฐานของการตั้งเป้าหมายหากเราไม่รู้ว่าตัวเอง “รู้สึกอะไร..?” “ให้คุณค่ากับอะไร..?” หรือ “ต้องการอะไรจริงๆ ในชีวิต..?” เราก็ยากที่จะมีเป้าหมายที่แท้จริง

งานวิจัยโดย Schwartz (1992) พบว่า ค่านิยมส่วนบุคคล (personal values) เป็นตัวกำหนดทิศทางของเป้าหมายที่มีความหมาย

2. Self-Management

เมื่อรู้เป้าหมายแล้ว ต้องบริหารอารมณ์ เวลา และพลังงานให้สอดคล้องกับมันด้วย ดังนั้น การมีเป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้คนมีแรงจูงใจภายใน (intrinsic motivation) ซึ่งมีพลังมากกว่าการถูกบังคับจากภายนอก

งานวิจัยโดย Ryan & Deci’s Self-Determination Theory (2000) ชี้ว่า เป้าหมายที่เชื่อมโยงกับ “แรงจูงใจภายใน” จะยั่งยืนกว่ามาก

3. Responsible Decision-Making

เป้าหมายเป็นเหมือน “เข็มทิศ” ที่ช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้นในทุกจุดของชีวิต ดังนั้น การไม่มีเป้าหมาย อาจทำให้ตัดสินใจแบบไร้ทิศทาง หรือไหลตามแรงกดดันภายนอกได้ง่าย


ผมเจอบทความชิ้นหนึ่งจาก Everyday Power เขาเขียนไว้อย่างน่าสนใจมากว่า “ถ้าคุณรู้สึกไม่มีเป้าหมาย…นั่นอาจเพียงเพราะคุณยังไม่ได้ตั้งคำถามที่ใช่” ในขณะเดียวกัน “ถ้ายังไม่รู้ว่าอยากมีชีวิตแบบไหน…ลองเริ่มจากคำถามว่า ‘ไม่อยากมีชีวิตแบบไหน?’”

ซึ่งแนวคิดนี้อิงหลักจิตวิทยาอย่าง “Framing Effect” ซึ่งชี้ว่า “วิธีตั้งคำถาม” มีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจ

  • ❌ “ไม่อยากมีแฟนเจ้าชู้” → ✅ “อยากมีความสัมพันธ์ที่มั่นคง”
  • ❌ “ไม่อยากเป็นหนี้” → ✅ “อยากมีอิสรภาพทางการเงิน”

การ Reframe จากสิ่งที่ไม่ต้องการ → สิ่งที่ต้องการ → นำพาไปสู่เป้าหมายใหม่ที่ใช่ ตัวอย่างเช่น:

  • ไม่อยากมีแฟนเจ้าชู้ → เป้าหมาย = อยากมีความสัมพันธ์ที่มั่นคง
  • ไม่อยากเป็นหนี้ → เป้าหมาย = อยากมีอิสระทางการเงิน

งานวิจัยสนับสนุน:

  • Lee & Aaker (2004) พบว่า การตั้งเป้าหมายโดยใช้กรอบคำถามที่แตกต่างกัน (เช่น “ไม่อยากได้อะไร” vs “อยากได้อะไร”) มีผลต่อการรับรู้แรงจูงใจและพฤติกรรม
  • Oettingen’s mental contrasting ชี้ว่า การคิดถึงอุปสรรคหรือสิ่งที่ไม่ต้องการ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี หากตามด้วย “การตั้งเป้าหมายเชิงบวก” ที่ชัดเจนและลงมือทำ (Oettingen, 2014)

ดังนั้น การถามว่า “ไม่อยากมีชีวิตแบบไหน” อาจเป็น จุดเริ่มต้นที่ปลอดภัย สำหรับคนที่ยังไม่ชัดเจน เพียงแต่อย่าหยุดแค่ตรงนั้น ควรพัฒนาต่อให้กลายเป็นภาพชีวิตที่ต้องการในเชิงบวก

_

ใช้ “วงล้อชีวิต 9 ด้าน” เพื่อประเมินว่าชีวิตตอนนี้สมดุลหรือไม่ ให้คะแนน 1–10 ว่าคุณพึงพอใจแค่ไหนในแต่ละด้าน เช่น

  1. CAREER (อาชีพ/การงาน)
  2. FINANCIAL (การเงิน)
  3. FAMILY (ครอบครัว)
  4. FRIENDSHIP (มิตรภาพ/เพื่อน)
  5. ROMANCE (ความรัก/คู่รัก)
  6. LEISURE (สันทนาการ/ยามว่าง)
  7. PHYSICAL HEALTH (สุขภาพกาย)
  8. MENTAL HEALTH (สุขภาพจิต)
  9. SPIRITUAL (จิตวิญญาณ)

จุดที่ได้คะแนนต่ำที่สุด อาจคือจุดเริ่มต้นที่ดีในการ “ตั้งเป้าหมาย” นี่คือจุดเริ่มต้นของ Self-Awareness — เพื่อรู้ว่าตอนนี้ชีวิตสมดุลหรือไม่

เมื่อคุณระบุด้านที่อยากปรับปรุงแล้ว ให้ดึงแต่ละด้านมาทำงานต่อแบบเจาะลึกด้วย 3 คำถามต่อไปนี้:

  1. แบบไหนที่เราไม่ต้องการ…?
    เช่น: ไม่อยากรู้สึกเครียดเรื่องเงิน
  2. สิ่งที่เราต้องการ (แทนสิ่งนั้น) คือแบบไหน…?
     เช่น: ด้านการเงิน – อยากรู้สึกมั่นคงทางการเงิน
  3. อยากเริ่มเปลี่ยนจากจุดไหนก่อน…?
    เช่น: วางแผนหางานใหม่ที่ตรงกับคุณค่า, ตั้งงบการเงินเพื่อปลดหนี้

นี่คือกระบวนการ Goal Reframing ที่ทรงพลังสุดๆ เลยครับ เพราะช่วยให้เป้าหมายเชื่อมโยงกับคุณค่าภายในของตัวเราจริง ๆ และยังช่วยพัฒนาทักษะ Self-Management และ Responsible Decision-Making
เพราะคุณไม่ได้ตั้งเป้าหมายจากแรงภายนอก แต่จากการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง

เมื่อคุณสำรวจครบแล้ว ลองเลือก 1 เป้าหมายที่คุณรู้สึก “อยากเริ่มที่สุด” แล้วแตกออกเป็น Mini Goals และ Action Steps ที่ลงมือทำได้จริง

ตัวอย่าง:

  • 🎯 My Big Goal: ย้ายไปทำงานที่ตรงกับความสามารถและคุณค่า
  • Mini Goal 1: ปรับเรซูเม่
  • Mini Goal 2: หาคอร์สเพิ่มทักษะ
  • Mini Goal 3: สมัครงานใหม่
  • ✅ Action Steps: ตั้งเวลาเรียน / เขียน CV / สอบถามเพื่อนร่วมสายงาน

คุณจะเห็นได้ว่าการตั้งเป้าหมายไม่ใช่แค่ “ฝัน” แต่คือการวางระบบชีวิตใหม่แบบมีทิศทาง จะทำให้เราก้าวไปอย่างมีแรงขับเคลื่อนที่ยั่งยืนกว่า


บทสรุปส่งท้าย:

เป้าหมายชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ต้องบังคับตัวเอง “ให้ต้องหาให้เจอ” แต่อาจคือสิ่งที่เราต้องค่อย ๆ “ตั้งคำถาม” แล้วคุยกับตัวเองถึงคำตอบที่สอดคล้องกับคุณค่าภายใน

เพราะบางครั้ง…
ที่ยังรู้สึกไม่มีเป้าหมายในชีวิต
อาจเป็นเพราะยังไม่เคยตั้งคำถามที่จะพาเราไปถึงเป้าหมายก็ได้


Reference:

How To Find Your Purpose When You Feel Off Course. Retrieved from https://everydaypower.com/discovering-your-purpose

Picture of Armer Khanachang

Armer Khanachang

Founder at SELminder,

Share to

Related Posts

บทความล่าสุด

ที่ยังรู้สึกว่าชีวิตไม่มีเป้าหมาย อาจเป็นเพราะไม่เคยตั้งคำถาม..

เป้าหมายชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ต้องบังคับตัวเอง “ให้ต้องหาให้เจอ” แต่อาจคือสิ่งที่เราต้องค่อย ๆ “ตั้งคำถาม” แล้วคุยกับตัวเอง

วิชาขอบคุณตัวเอง

“วิชาขอบคุณตัวเอง” อาจไม่มีอยู่ในโรงเรียน แต่มันเริ่มต้นได้ที่ใจเรา โดยเฉพาะจากวิธีที่เราพูดเบา ๆ กับตัวเอง เช่น “ขอบคุณนะ ที่ฉันยังไม่ยอมแพ้”

คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่ในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต?

การอยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้หมายความว่า “ห้ามคิดถึงอดีตหรืออนาคต” แต่หมายถึงการแยกแยะให้ชัดเจน ระหว่างด้านจิตใจ กับด้านปัญญา