วิชาขอบคุณตัวเอง


เราถูกสอนให้ “ขอโทษ” “ขอบคุณคนอื่น” และ “เคารพผู้อื่น” มาตั้งแต่เด็ก แต่ทำไมแทบไม่มีใครสอนให้เรา “ขอบคุณตัวเอง” หรือกระตุ้นให้เราตั้งคำถามง่าย ๆ ที่ทรงพลังว่า “วันนี้ขอบคุณตัวเองหรือยัง?”

นี่เป็นคำถามที่ผมขบคิดมานาน ทั้งที่จริงแล้ว การขอบคุณตัวเองควรจะเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรทำได้ แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามมากที่สุดในชีวิต

ผมจึงลองจินตนาการต่อไปว่า… ถ้าโรงเรียนมี “วิชาขอบคุณตัวเอง” จริง ๆ มันจะสอนอะไรเราบ้าง?

แก่นแท้ของ “วิชาขอบคุณตัวเอง” วิชานี้จะมอบบทเรียนที่สำคัญแก่เรา:

  • ตระหนักถึงคุณค่าของความพยายาม: เราจะได้เรียนรู้ว่า “ความพยายามของเรามีคุณค่า” อย่างแท้จริง แม้ไม่มีใครมองเห็นหรือชื่นชม
  • ฝึกสื่อสารอย่างอ่อนโยน: เราจะได้ฝึกพูดกับตัวเองด้วยความเมตตา แทนที่จะตัดสิน ตีตรา ดุด่า หรือกดทับตัวเองอยู่เสมอ
  • ขอบคุณร่างกาย: เราจะได้เริ่มต้นจากจุดที่ใกล้ตัวที่สุด นั่นคือการขอบคุณร่างกาย—จุดเริ่มต้นที่พาเราใช้ชีวิตในทุก ๆ วัน
  • สร้างกำลังใจด้วยตัวเอง: เราจะไม่ต้องรอคำชมจากคนอื่นอีกต่อไป เพราะเรารู้จักให้กำลังใจตัวเองได้อย่างมั่นคง

ท้ายที่สุดแล้ว วิชาขอบคุณตัวเองจะช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะ “รักตัวเองแบบไม่ต้องรอให้สมบูรณ์พร้อม”—เราจะรักและโอบกอดได้ทั้งความพยายามและความผิดพลาดของตัวเราเองอย่างไม่มีเงื่อนไขครับ


คำตอบสั้นๆ เพราะเสียงที่เราได้ยินบ่อยที่สุด ก็คือ “เสียงในหัวของเราเอง”

ถ้าเสียงนั้นเต็มไปด้วยความกดดัน ความผิดหวัง และการเปรียบเทียบ แล้วหัวใจเราจะเหลือพื้นที่ “ให้หายใจ” ของตัวเราเองได้ยังไง? 🥺 …เพราะขนาดข้างในเรายังดุด่าตัวเองเลย นี่ยังไม่นับรวมเสียงจากภายนอกอีก ไม่ว่าจะเป็นคำวิจารณ์ คำต่อว่า หรือความคาดหวัง…

ขนาดข้างในยังไม่รอด.. จะหวังจากข้างนอกอย่างไร!!?

ดังนั้น คีย์สำคัญของการขอบคุณตัวเอง จึงไม่ใช่เรื่องสวยหรูอะไร แต่มันคือการยอมรับว่า “เราก็สำคัญ” และ “เราก็สมควรได้รับคำขอบคุณ” แม้ไม่มีใครพูดให้ฟัง เราก็สามารถพูดหรือชมกับตัวเองได้

นักวิจัยด้านจิตวิทยาต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า การหันมาให้ความเมตตาและขอบคุณตัวเองมีผลดีต่อสุขภาพจิตอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่เรื่อง “โลกสวย” แต่เป็น “ทักษะชีวิต” ที่สำคัญ

1. งานวิจัยของ Kristin Neff (2003) ผู้บุกเบิกแนวคิด Self-Compassion พบว่า การฝึกเมตตาต่อตัวเอง (ซึ่งรวมถึงการขอบคุณตัวเอง) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับ:

  • ความพึงพอใจในชีวิต (life satisfaction)
  • ความมั่นคงทางอารมณ์
  • ลดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล
  • เพิ่มแรงจูงใจและความรับผิดชอบในชีวิต

งานวิจัยนี้ยืนยันว่า การเห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็น “รากฐานของความยืดหยุ่นทางใจ” (Emotional Resilience) ที่ช่วยให้เราล้มแล้วลุกได้เร็ว

2. งานวิจัยของ Wood, Froh, & Geraghty (2010) วิเคราะห์ว่า “ความกตัญญู” (gratitude) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การขอบคุณผู้อื่น แต่รวมถึงการ “ขอบคุณในสิ่งที่เราทำเพื่อตัวเอง” ด้วย ซึ่งช่วยเสริม:

  • ความรู้สึกว่า “ฉันมีคุณค่า”
  • การสร้างตัวตนที่มั่นคง (self-integrity)
  • ความพึงพอใจในชีวิตอย่างยั่งยืน

3. งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม (Emmons & Mishra, 2011) พบว่า ความรู้สึก “ขอบคุณตัวเอง” เป็นเครื่องมือสำคัญต่อ การพัฒนาตัวเองอย่างไม่เจ็บปวด เพราะคุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์เท่านั้น แต่รวมถึงกระบวนการด้วย

  • ผู้ที่ฝึก “ขอบคุณในความพยายามของตนเอง” มีแนวโน้มที่จะมองตัวเองในแง่บวกมากขึ้น
  • การขอบคุณตัวเองช่วยลดเสียงวิจารณ์ภายใน (inner critic)
  • มีแนวโน้มที่จะ ให้อภัยตัวเอง และกล้าเติบโตจากข้อผิดพลาด

  • การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) ช่วยให้เรารู้ว่า “วันนี้เราเหนื่อยไหม?” “เรารู้สึกอะไรอยู่?” และยอมรับมันโดยไม่ตัดสิน
  • การเมตตาต่อตนเอง (Self-Compassion) สอนให้เราปลอบใจตัวเอง แทนที่จะตำหนิตัวเองเมื่อทำผิดพลาด
  • การจัดการตนเอง (Self-management) ช่วยให้เรารู้จักดูแลใจตัวเองในวันที่ไม่มีใครเข้าใจ
  • การตัดสินใจอย่างรับผิดชอบ (Responsible decision-making) สุดท้ายเมื่อเราเห็นคุณค่าตัวเอง เราก็ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีและเคารพต่อชีวิตตัวเองได้ดีขึ้น

_

การฝึกขอบคุณตัวเองทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเสียเงิน และใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อวัน

คือ การเขียนจดหมายถึงตัวเองเหมือนเป็นเพื่อนรักคนหนึ่ง ใช้น้ำเสียงเมตตา ไม่ตัดสิน เช่น:

  • ขอบคุณที่เธอยังอยู่ตรงนี้ แม้มันจะยากเย็นเหลือเกิน”
  • ฉันเห็นความพยายามของเธอแล้วนะ อย่าลืมว่าวันนี้เธอก็ถือว่ากล้าหาญมากแล้ว”

ผลลัพธ์ตามงานวิจัย: วิธีนี้เพิ่มความรู้สึกเห็นอกเห็นใจตัวเอง, ลด self-criticism และสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ในระยะยาว – งานวิจัยอ้างอิง: Neff (2003); Emmons & Mishra (2011)

คือแทนที่จะขอบคุณสิ่งรอบตัว ให้ลองเขียนว่า “วันนี้ฉันขอบคุณตัวเองที่…”

  • ตื่นขึ้นมาแม้ยังเหนื่อยล้า
  • อดทนและจัดการกับเรื่องที่ไม่อยากเจอ
  • กล้าพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป

ผลลัพธ์ตามงานวิจัย: เพิ่ม self-esteem, สร้างแนวโน้มเชิงบวกต่อชีวิต และลดภาวะซึมเศร้าและความรู้สึกไร้คุณค่า – งานวิจัยอ้างอิง: Wood et al. (2010)

มันคือการสื่อสารกับตัวเองผ่านการมองตาตัวเองในกระจก แล้วพูดคำง่าย ๆ ที่มาจากความรู้สึก เช่น:

  • ขอบคุณที่ยังอยู่ตรงนี้เพื่อฉัน”
  • ขอบคุณที่พยายามอย่างหนัก แม้ไม่มีใครรู้”

ผลลัพธ์ตามงานวิจัย: ลดระดับเสียงวิจารณ์ในใจ, ช่วยให้ยอมรับตนเองได้มากขึ้น และเสริมพลังให้การ ให้อภัยตัวเอง เกิดขึ้นได้จริง – งานวิจัยอ้างอิง: Emmons & Mishra (2011); Neff (2003)

วิธีนี้จะได้ผลดีเยี่ยมเมื่อใจเราเริ่มพูดตำหนิตัวเอง ให้รีบเปลี่ยนเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจแทน:

  • จาก ฉันไม่ดีพอเลย” → เปลี่ยนเป็น ขอบคุณที่ยังพยายาม แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ”
  • จาก ไม่น่าทำแบบนั้นเลย” → เปลี่ยนเป็น ขอบคุณที่กล้าลอง แม้จะยังไม่สำเร็จ นี่คือบทเรียนนะ”

ผลลัพธ์ตามงานวิจัย: ช่วยลดอารมณ์ลบซ้ำซ้อน (rumination), เพิ่มความเมตตาต่อตัวเองโดยอัตโนมัติ และฝึกสมองให้มีแนวโน้มมองตัวเองอย่างให้กำลังใจมากขึ้น – งานวิจัยอ้างอิง: Neff (2003); Wood et al. (2010)

คือการย้อนมองอดีต แล้วพูดขอบคุณกับเวอร์ชันของตัวเองที่ยังไม่สมบูรณ์ หรือเวอร์ชันที่เผชิญความยากลำบาก:

  • ขอบคุณตัวฉันในวัย 20 ที่แม้จะสับสน ก็ยังพยายามไม่หยุด จนพาฉันมาถึงวันนี้ได้”
  • ขอบคุณวันที่เคยร้องไห้ เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ”

ผลลัพธ์ตามงานวิจัย: สร้างการยอมรับตัวตนในทุกช่วงวัย, ลดการแบกความรู้สึกผิดหรือเสียดาย และเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันอย่างอ่อนโยน – งานวิจัยอ้างอิง: Emmons & Mishra (2011)


สรุปส่งท้าย: “วิชาขอบคุณตัวเอง” อาจไม่มีอยู่ในโรงเรียน แต่มันเริ่มต้นได้ที่ใจเรา โดยเฉพาะจากวิธีที่เราพูดเบา ๆ กับตัวเอง “ขอบคุณนะ ที่ยังไม่ยอมแพ้”

ในโลกที่เสียงจากข้างนอกดังเหลือเกิน
เสียงของความขอบคุณจากข้างใน… อาจเป็นสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด


References:

Neff, K. D. (2003). Self-compassion: An alternative conceptualization of a healthy attitude toward oneself. Self and Identity, 2(2), 85–101.
https://doi.org/10.1080/15298860309032

Wood, A. M., Froh, J. J., & Geraghty, A. W. A. (2010). Gratitude and well-being: A review and theoretical integration. Clinical Psychology Review, 30(7), 890–905.
https://doi.org/10.1016/j.cpr.2010.03.005

Emmons, R. A., & Mishra, A. (2011). Why gratitude enhances well-being: What we know, what we need to know. In Designing Positive Psychology (pp. 248–262). Oxford University Press.
https://doi.org/10.1093/acprof:oso/9780195373585.003.0016

Picture of Armer Khanachang

Armer Khanachang

Founder at SELminder,

Share to

Related Posts

บทความล่าสุด

16 วิธีมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ

16 วิธีมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ เหล่านี้ไม่ได้ต้องการให้คุณหาเวลาว่างเพิ่ม มันแค่ต้องการให้คุณกลับมาอยู่กับตนเองอย่างมีสติ (Mindfully) มากขึ้น

จะเป็นคนคิดบวกมากแค่ไหน ก็ยังไม่ใช่ Growth Mindset

บางครั้งการคิดบวก ก็เป็นสิ่งที่เราต้องการเพื่อฮีลใจ (เพื่อก้าวไปต่อไป) แต่บางครั้ง การเติบโตก็ต้องการให้เรานั่งอยู่กับความไม่สบายใจบ้าง

ที่ยังรู้สึกว่าชีวิตไม่มีเป้าหมาย อาจเป็นเพราะไม่เคยตั้งคำถาม..

เป้าหมายชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ต้องบังคับตัวเอง “ให้ต้องหาให้เจอ” แต่อาจคือสิ่งที่เราต้องค่อย ๆ “ตั้งคำถาม” แล้วคุยกับตัวเอง