
หลายคนคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นง่าย.. รวมถึงตัวผมเองด้วย 😂 และเผลอคิดไปว่า Empathy เป็นเรื่องธรรมชาติที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ต้องฝึกฝนอะไร… แต่บอกเลยว่าคิดผิดถนัด!
หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือ “การสื่อสารอย่างสันติ (Nonviolent Communication)” ของ Marshall Rosenberg และ “Atlas of the heart” ของ Brené Brown (ที่เคยสรุปให้อ่านไปแล้ว) ผมก็ได้เรียนรู้และเข้าใจมากขึ้นว่า Empathy ไม่ใช่สิ่งที่เรา “คิดว่าเราเป็น” แต่เป็นสิ่งที่เรา “ทำ” ต่างหาก มันคือ ทักษะ ที่ต้องฝึก!!
ที่สำคัญกว่านั้น Empathy คือหัวใจของ “ความตระหนักรู้ทางสังคม (Social Awareness)” ในการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Social-Emotional Learning หรือ SEL) อีกด้วย
Empathy คืออะไร
หลายคนยังเข้าใจผิดว่า Empathy (ความเห็นอกเห็นใจ) เป็นเพียงความรู้สึกอ่อนไหวที่เรามีต่อผู้อื่น ราชบัณฑิตยสถานเองก็ให้ความหมายว่า Empathy คือ “การรู้ซึ้งถึงความรู้สึก” หรือความสามารถในการเข้าถึงและเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น (ผ่านการมองในมุมมองของพวกเขา)
แต่ในความเป็นจริงแล้ว Empathy ไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ความรู้สึกครับ มันคือ #การแสดงออกผ่านพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างแท้จริง ต่างหาก การเห็นอกเห็นใจไม่ใช่แค่การรับรู้ว่าผู้อื่นรู้สึกอย่างไร แต่คือการนำความเข้าใจนั้นไปสู่การกระทำ เพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนในแบบที่พวกเขาต้องการจริงๆ
✦ คีย์สำคัญ
เข้าใจในอารมณ์ผู้อื่น → เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางใจ → ให้คนที่อยู่ตรงหน้า รับความรู้สึกได้ว่า “เราอยู่ตรงนี้กับเขาจริง ๆ”
Empathy ไม่ใช่สิ่งที่เรา “คิดว่าเราเป็น”
- วิจารณ์หรือให้ความเห็นว่าเขาควรทำอะไร: “เธอควรทำแบบนี้ๆ นะ”
- ลดทอนหรือมองข้ามความรู้สึก: “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็โอเค”
- เปรียบเทียบกับตัวเอง: “ฉันเคยเป็นหนี้เยอะกว่านี้อีก!”
- วิเคราะห์หาสาเหตุ: “ก็เพราะพ่อแม่เธอไม่เคยสอนเรื่องนี้ไง”
- เห็นใจแบบเวทนา: “โอ๊ย น่าสงสารจังเลย”
- สอนหรือรีบให้คำแนะนำ: “ฉันเริ่มเก็บเงิน 20% ลองดูสิ”
- แอบสวมบทโค้ชหรือสอบสวน: “เป้าหมายในชีวิต 3 ปีจากนี้คืออะไร?”
- รีบตัดบท รีบเปลี่ยนเรื่อง หรือรีบปลอบ
Empathy คือสิ่งที่เราทำแสดงออก
- ตั้งใจฟังโดยไม่ขัดจังหวะ: ไม่แทรก ไม่รีบสรุป หรือเล่าเรื่องของเราเอง
- ใช้ภาษากายช่วย: เช่น สบตา พยักหน้า หรือส่งเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแสดงว่าเรากำลังฟังอยู่ (“อืม”)
- สะท้อนสิ่งที่เขาพูด: เช่น “ฉันได้ยินเธอพูดว่าเครียด…”
- ถามคำถามปลายเปิด: เช่น “ยังมีอะไรอีกไหมที่เธออยากเล่า?”
- ขออนุญาตก่อนให้คำแนะนำ: เช่น “ฉันมีไอเดียหนึ่งนะ อยากฟังไหม?”
- สร้างพื้นที่ปลอดภัย: ให้เขารู้สึกว่า “เขามีสิทธิ์ที่จะรู้สึก” เราจะไม่ตัดบท ไม่เปลี่ยนเรื่อง หรือรีบปลอบ
- สังเกตภาษากาย: แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมา เช่น เห็นเพื่อนเงียบ ๆ ก็ลองเข้าไปถามอย่างอ่อนโยน
- ควบคุมอารมณ์ตัวเอง: เช่น ถ้ารู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่เขาพูด ให้รับรู้ความรู้สึกนั้นและจัดการตัวเอง ให้ใจเราเชื่อมโยงกับความรู้สึกของอีกฝ่าย
- ควบคุมความคิดตัวเอง: เช่น ไม่รีบพูดตอบทันที แต่หยุดพักสักนิดเพื่อสังเกตความคิด
สรุปง่าย ๆ
Empathy คือการตระหนักรู้และตอบสนองต่อผู้อื่นอย่างมีสติ โดยไม่รีบเร่งหรือตัดสินใคร มันคือ ทักษะที่เราทุกคนฝึกได้ทุกวัน
ลองเริ่มง่าย ๆ แค่ “ฟัง” ใครสักคนในวันนี้… ไม่ต้องรีบให้คำแนะนำ ไม่ต้องรีบแก้ไขปัญหา แค่ “อยู่กับเขา” อย่างเต็มใจ แล้วคุณจะเห็นเองว่า Empathy ที่เป็นหัวใจของ “ความตระหนักรู้ทางสังคม (Social Awareness)” คือของขวัญที่ส่งต่อให้กันได้เสมอเลยนะ