เบื้องหลังความรู้สึก มีความต้องการซ่อนอยู่เสมอ

เบื้องหลังความรู้สึก มีความต้องการซ่อนอยู่เสมอ

เวลามีคนมาตำหนิ วิจารณ์ หรือพูดเชิงลบกับคุณ คุณมักรับมือแบบไหน?
A. ตอบโต้หรือโต้แย้งกลับทันที
B. รับเอาคำตำหนินั้นมาใส่ใจ
C. กลับมามองว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไง และเราต้องการอะไรจากสถานการณ์นี้
D. มองว่าคนที่พูดกับเรารู้สึกยังไง และเขาต้องการอะไรเบื้องหลังคำพูดเหล่านั้น

ผมเชื่อว่าตัวเลือก A และ B น่าจะเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่หลายคนทำ ส่วนตัวเลือก C และ D ถ้ายังไม่คุ้นเคยกับการระบุความรู้สึกและความต้องการก็อาจจะยากสักหน่อย แต่บอกเลยว่าสองข้อหลังนี่แหละที่จะช่วยให้เรา ‘ตระหนักรู้ตนเอง’ และสร้าง ‘ความเข้าใจระหว่างกัน’ ได้อย่างแท้จริง

────

แต่ก่อนที่เราจะลงลึกไปในวิธีรับมือแบบ C และ D เราต้องมาทำความเข้าใจ ‘หัวใจสำคัญ’ ที่จะช่วยให้เราทำสองข้อนี้ได้ นั่นก็คือการเชื่อมโยง ‘ความรู้สึก’ กับ ‘ความต้องการ’ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญจากหนังสือ “การสื่อสารอย่างสันติ” (Nonviolent Communication หรือ NVC) ของ Marshall Rosenberg ซึ่งบอกไว้ว่า “ความรู้สึกต่างๆ ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลมาจากความต้องการที่ได้รับหรือไม่ได้รับการตอบสนอง”

ดังนั้น การกลับมาฟังความรู้สึกและความต้องการอย่างแท้จริง คือประตูสู่ Self-awareness ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญเบอร์หนึ่งตามกรอบการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Social and Emotional Learning หรือ SEL) ที่จะช่วยเปลี่ยนทั้งวิธีที่เราเข้าใจตัวเอง และวิธีที่เราสื่อสารกับคนรอบข้าง!


เบื้องหลังความรู้สึก มีความต้องการซ่อนอยู่เสมอ

ตามนิยามในหนังสือของคุณ Marshall Rosenberg คือ“ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและใจ’ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ ‘ความต้องการของเรา’ ได้รับการตอบสนองหรือไม่ได้รับการตอบสนอง” นั่นเองครับ

ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาที่เรารู้สึก เศร้า เหงา โกรธ หรือแม้กระทั่งดีใจ อารมณ์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ ‘เกิดขึ้นลอยๆ’ หรือ ‘บังเอิญ’ แต่มันคือ ‘สัญญาณชี้นำจากภายใน’ ที่บอกเราว่า ‘ความต้องการของเรา’ กำลังได้รับการเติมเต็ม หรือยังขาดหายไป

สิ่งแรกที่เราต้องปรับ Mindset ก่อนเลยคือ ‘อารมณ์เชิงลบไม่ใช่เรื่องผิด หรือสิ่งที่ควรเมินเฉย’ —ตรงกันข้าม อารมณ์เหล่านี้คือ ‘สัญญาณจากภายใน’ ที่บอกเราว่ามีบางสิ่งในตัวเราที่ต้องการการดูแลหรือต้องการได้รับการตอบสนอง!

ตัวอย่างเช่น:

  • ความโกรธ อาจไม่ใช่แค่การไม่พอใจ แต่สะท้อนถึงความรู้สึกว่าตนเองถูกล้ำเส้น ถูกเอาเปรียบ หรือไม่ได้รับความยุติธรรม
  • ความเหงา อาจบอกเราว่าเรากำลังโหยหาการเชื่อมโยง ความรัก หรือความสำคัญจากใครบางคน
  • ความเศร้า อาจเชื่อมโยงกับการสูญเสีย หรือความคาดหวังที่ไม่สมหวัง

ประโยชน์ของการฟังอารมณ์ทางลบ

  • ช่วยให้เรา ‘รับผิดชอบอารมณ์ของตัวเอง’ ได้ดีขึ้น โดยไม่เผลอไปโทษคนอื่น
  • สร้างการสื่อสารที่เต็มไปด้วย ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ (Empathy) มากขึ้น
  • ช่วย ‘ลดการระเบิดทางอารมณ์’ เพราะเมื่อเรา ‘แปล’ ความรู้สึกเป็นความต้องการได้ เราก็จะจัดการมันได้ดีขึ้น
  • ส่งเสริม ‘ความเข้าใจในตนเองอย่างลึกซึ้ง’

ถ้าอารมณ์เชิงลบคือ ‘สัญญาณเตือน’ ว่ามีความต้องการที่ยังไม่ถูกเติมเต็ม —อารมณ์ในทางบวกอย่างเช่น ความสุข ความภาคภูมิใจ หรือความซาบซึ้งใจ ก็เปรียบเสมือน ‘เครื่องยืนยัน’ ว่า ‘บางสิ่งที่เราต้องการได้เกิดขึ้นจริงแล้ว’ ครับ

ในมุมมองของ SEL (Social and Emotional Learning) การตระหนักรู้อารมณ์เชิงบวกไม่ใช่แค่การ ‘รู้สึกดี’ เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่:”

  • Self-awareness (การตระหนักรู้ในตนเอง): ช่วยให้เราเข้าใจว่า ‘อะไรคือสิ่งที่เติมเต็มและส่งเสริมสุขภาวะทางอารมณ์ของเรา’
  • Self-esteem (ความภาคภูมิใจในตนเอง): เมื่อเรารับรู้อารมณ์เชิงบวก เราจะยิ่ง ‘เห็นคุณค่าภายในตนเอง’ ชัดเจนขึ้น
  • Motivation (แรงจูงใจภายใน): อารมณ์เชิงบวกเป็นเหมือน ‘พลังงานทางใจ’ ที่ผลักดันให้เรามุ่งมั่น ตั้งใจ และก้าวไปสู่เป้าหมายที่เราวางไว้

ประโยชน์ของการรู้ว่า ‘อารมณ์ดีๆ ของเรามาจากอะไร’ จะช่วยให้เรา:

  • เลือกกิจกรรมที่ ‘มีความหมาย’ และสร้างความสุขอย่างยั่งยืนมากขึ้น
  • ใช้ชีวิตได้ ‘ตรงกับตัวตน’ และคุณค่าที่เรายึดมั่น
  • ตระหนักว่า เบื้องหลังความรู้สึก มีความต้องการซ่อนอยู่เสมอ
  • และแน่นอน… ‘ส่งต่อพลังบวก’ นั้นไปสู่คนรอบข้างและสังคมได้อีกด้วย!

เพื่อช่วยให้คุณสามารถระบุและทำความเข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เราได้รวบรวม ‘คลังคำศัพท์ความรู้สึก’ (Feelings Vocabulary) ทั้งในยามที่ความต้องการได้รับการตอบสนองและไม่ได้รับการตอบสนอง ลองมาดูกันครับ

หมวดตัวอย่างคำบรรยายอารมณ์สถานการณ์ตัวอย่าง
🔵 ความรู้สึกเมื่อความต้องการได้รับการตอบสนองสงบ /สันติ: พึงพอใจ, สบายใจ, ผ่อนคลาย, โล่งใจ, ปล่อยวาง
รัก /ชอบ: อบอุ่น, เป็นมิตร, เปิดใจ, เชื่อใจ, ห่วงใย
สดชื่น /เบิกบาน: ดีใจ, สนุก, มีความหวัง, ภูมิใจ, มีพลัง, กระปรี้กระเปร่า, สดใส
มีความสุข: ร่าเริง,กระตือรือร้น,  กล้าหาญ, มีชีวิตชีวา
สนใจ / มีส่วนร่วม: อยากรู้, ใส่ใจ, ตื่นเต้น, อยากช่วย,
– ได้รับคำชม
– มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ
– อยู่กับคนที่รัก
🔴 ความรู้สึกเมื่อความต้องการไม่ได้รับการตอบสนองโกรธ / หงุดหงิด: ไม่พอใจ, ขุ่นเคือง, ฉุนเฉียว, หัวเสีย, ก้าวร้าว, โมโห, เกรี้ยวกราด
เศร้า / เหงา: โดดเดี่ยว, ท้อแท้, สิ้นหวัง, ซึมเศร้า
หวาดกลัว / กังวล: กลัว, หวาดหวั่น, วิตก, สั่น, ระแวง, ไม่มั่นคง
เหนื่อย / อ่อนล้า: เหนื่อย, เฉื่อยชา, หมดแรง, ง่วงนอน, ไม่มีแรง
– ถูกมองข้าม
– ไม่ได้รับการฟัง
– ทำพลาดในสิ่งที่สำคัญ
🟡 เมื่อรู้สึกสับสน/ยังไม่ชัดเจน (กึ่งกลาง)สับสน, ลังเล, เบื่อ, อึดอัด, ไม่แน่ใจ– อยู่ในสถานการณ์ใหม่
– ไม่แน่ใจว่าควรตัดสินใจอย่างไร

ข้อควรระวัง: แยก ‘ความรู้สึก’ ออกจาก ‘ความคิด

  1. หนึ่งในกับดักที่หลายคนพลาดบ่อยๆ คือการสับสนระหว่าง ‘ความรู้สึก’ กับ ‘ความคิด’ ค่ะ และนี่คือ ‘สิ่งสำคัญที่เราต้องระวัง’ เพื่อให้เราสามารถระบุความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองได้”
  2. ความรู้สึก: คือ ‘คำที่บรรยายสภาพทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในตัวเรา’ โดยตรง เป็นสิ่งที่เรารับรู้ได้จากร่างกายและจิตใจ เช่น ดีใจ, ผิดหวัง, เหงา, วิตกกังวล, โกรธ, ตื่นเต้น, สงบ, ภูมิใจ เป็นต้น
  3. ความคิด: ในทางกลับกัน ‘ความคิดมักเป็นการตีความ การตัดสิน หรือการอธิบายสถานการณ์’ ซึ่งมักจะขึ้นต้นด้วยประโยคหลอกๆ อย่าง ‘ฉันรู้สึกว่า…’ หรือ ‘ฉันรู้สึกเหมือน…’

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า “ความรู้สึก” คือสัญญาณสำคัญที่ร่างกายและจิตใจส่งมาบอกเราว่ามีอะไรเกิดขึ้น ลองจินตนาการดูนะครับว่าความรู้สึกเหล่านั้นเหมือนกับ “ผลไม้” ที่ออกลูกออกผลมา เจ้า “ความต้องการ” ก็คือ “รากแก้ว” ที่หล่อเลี้ยงผลไม้เหล่านั้นอยู่เบื้องหลัง

Marshall Rosenberg ผู้ก่อตั้ง NVC อธิบายว่า “ความต้องการ” คือสิ่งสากลที่มนุษย์ทุกคนมีเหมือนกัน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การกิน การอยู่ หรือปัจจัยสี่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น ความปลอดภัย, การยอมรับ, การเชื่อมโยง, ความเป็นอิสระ, การเป็นส่วนหนึ่ง, การเรียนรู้ และการมีคุณค่า เป็นต้น

การตระหนักรู้ถึง “ความต้องการ” ของตัวเองและผู้อื่นเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เรา:

  1. เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง: เมื่อเราสามารถเชื่อมโยงความรู้สึกกับความต้องการที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังได้ เราจะเข้าใจพฤติกรรม อารมณ์ และปฏิกิริยาของตัวเองได้ดีขึ้นมาก ทำให้เราเห็นอกเห็นใจตัวเองได้มากขึ้นด้วย
  2. จัดการกับอารมณ์เชิงลบ: แทนที่จะจมอยู่กับความโกรธ ความเศร้า หรือความหงุดหงิด เราจะสามารถ “แปล” อารมณ์เหล่านั้นให้เป็นภาษาของความต้องการได้ เช่น ความโกรธอาจหมายถึงความต้องการ ‘ความยุติธรรม’ ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง หรือความเหงาคือความต้องการ ‘การเชื่อมโยง’ การรู้เช่นนี้ช่วยให้เราหาทางออกหรือเติมเต็มความต้องการได้อย่างมีสติมากขึ้น
  3. สื่อสารได้อย่างเห็นอกเห็นใจ: เมื่อเราเข้าใจความต้องการของตัวเอง เราจะสามารถสื่อสารสิ่งที่เราต้องการออกไปได้อย่างชัดเจน โดยไม่ใช้ภาษาตำหนิหรือกล่าวหาผู้อื่น และเมื่อเราพยายามเข้าใจความต้องการเบื้องหลังพฤติกรรมของผู้อื่น การสื่อสารก็จะเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ลดความขัดแย้ง และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นได้
  4. สร้างทางออกที่สร้างสรรค์: เพราะความต้องการเป็นสิ่งสากล การรู้ว่าอะไรคือความต้องการที่แท้จริง จะช่วยให้เรามองหาทางออกที่ตอบสนองความต้องการของทุกฝ่ายได้ ไม่ใช่แค่การเอาชนะหรือยอมแพ้กัน

เพื่อช่วยให้เราค้นหา ‘ความต้องการที่แท้จริง’ ซึ่งเป็นรากฐานของทุกความรู้สึกได้ง่ายขึ้น ผมได้รวบรวม ‘รายการความต้องการสากลของมนุษย์’ (Universal Human Needs/Values) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกัน ลองสำรวจดูนะครับว่าตอนนี้ความต้องการใดกำลังขับเคลื่อนคุณอยู่

หมวดหลักหมวดย่อยรายการความต้องการ
🟢 สุขภาวะ / ความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being)ความปลอดภัยความมั่นใจ, ความสะดวกสบาย, ความสม่ำเสมอ, ความกล้าหาญ, ความสงบ, ความเป็นระเบียบ, ความสามารถในการคาดการณ์, การปกป้อง, ความมั่นคง, ความไว้วางใจ
สุขภาพความอุดมสมบูรณ์, ความสมดุล, การออกกำลังกาย/เคลื่อนไหว, ความยืดหยุ่น, อาหาร/น้ำ/อากาศ/ที่อยู่อาศัย, โภชนาการ, ความมั่งคั่ง, ความเรียบง่าย, การนอนหลับ, ความยั่งยืน, สุขภาวะ
สันติสุขความงาม, ความสงบ, ความราบรื่น, พลังชีวิต, ความตื่นเต้น, ความสนุก, ความกลมกลืน, อารมณ์ขัน, การเล่น, การพักผ่อน, ความผ่อนคลาย, ความเงียบสงบ
🔵 ความสัมพันธ์ (Connection)การดูแลการยอมรับ, ความรักใคร่, การชื่นชม, ความยุติธรรม, ความเอื้อเฟื้อ, ความใกล้ชิด, ความเมตตา, ความสำคัญ, การเอาใจใส่, การให้คุณค่า, ความอบอุ่น
ความเข้าอกเข้าใจการตระหนักรู้, การรับรู้, การสื่อสาร, ความเห็นอกเห็นใจ, ความใส่ใจ, การมีอยู่ร่วม, การยอมรับ, การเปิดรับ, การมองเห็น, ความอ่อนไหว, ความเข้าใจ
ความเป็นส่วนหนึ่งความเป็นส่วนหนึ่ง, มิตรภาพ, ความร่วมมือ, การสนับสนุน, ความเท่าเทียม, การพึ่งพากัน, บ้าน/ความรู้สึกของบ้าน, การต้อนรับ, ความสัมพันธ์ที่เท่าเทียม, การทำงานเป็นทีม
🟠 การแสดงตัวตน (Self-Expression)เสรีภาพการผจญภัย, การเป็นตัวเอง, ความมีชีวิตชีวา, การเลือก, ความกล้าหาญ, ความคิดสร้างสรรค์, การเติบโต, ความเป็นอิสระ, ความสุข, ความค้นพบ
ความจริงใจความแท้จริง, ความสอดคล้อง, ความเชื่อถือได้, ความไว้วางใจ, ความเปิดเผย, อำนาจภายใน, ความเคารพ, ความเป็นจริง, ความน่าเชื่อถือ
ความหมายความสำเร็จ, ความกตัญญู, การเฉลิมฉลองหรือไว้ทุกข์, ความท้าทาย, การมีส่วนร่วม, ประสิทธิภาพ, ความเป็นเลิศ/ความชำนาญ, แรงบันดาลใจ, การเรียนรู้, ความหลงใหล, เป้าหมายชีวิต, วินัย, วิสัยทัศน์, ปัญญา
Handout by John Kinyon, www.johnkinyon.com

ข้อควรระวัง: แยก ‘ความต้องการ’ ออกจาก ‘วิธีการ’

  1. ฝึกการแยก “ความต้องการ” ออกจาก “วิธีการ” หรือ “วิธีที่จะได้มาซึ่งความต้องการนั้น”
    ความต้องการ: เป็นสิ่งสากลที่ทุกคนมี เช่น ‘ความเคารพ’ ‘การรับฟัง’
    วิธีการ: คือ สิ่งที่เราเลือกใช้เพื่อให้ได้ความต้องการนั้นมา ซึ่งมีได้หลากหลาย เช่น การร้องขอให้คนอื่น ‘หยุดพูดแทรก’ หรือ ‘ให้โอกาสเราพูดบ้าง’
  2. การแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันจะช่วยให้เราเปิดใจมองหาทางเลือกอื่นๆ ได้มากขึ้น และลดความคาดหวังหรือการยึดติดกับวิธีการใดวิธีการหนึ่งมากเกินไป

เพราะการที่เราสื่อสารเพียงแค่ ‘วิธีการ’ มีข้อจำกัดหลายอย่าง:

  1. จำกัดทางเลือก: เมื่อเรายึดติดกับ ‘วิธีการ’ เดียว เช่น ‘ต้องมาตรงเวลาเท่านั้น’ เราจะปิดโอกาสในการหาทางออกอื่นๆ ที่อาจจะตอบสนองความต้องการเดียวกันได้ เช่น เพื่อนอาจจะมาไม่ตรงเวลา แต่โทรแจ้งล่วงหน้า หรือหาคนมาทำแทน ซึ่งก็อาจตอบสนองความต้องการเรื่อง ‘ความสะดวกสบาย’ หรือ ‘ความร่วมมือ’ ของเราได้เหมือนกัน
  2. เกิดความขัดแย้งง่าย: เมื่ออีกฝ่ายไม่สามารถทำตาม ‘วิธีการ’ ที่เรากำหนดได้ (ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม) ก็มักจะนำไปสู่ความขัดแย้ง การตำหนิ หรือความผิดหวัง เพราะเราไม่ได้สื่อสารว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไรกันแน่
  3. ไม่ลึกซึ้งและไม่เห็นอกเห็นใจ: การสื่อสารที่เน้นวิธีการทำให้บทสนทนาเป็นไปในเชิงคำสั่ง หรือการบังคับ มากกว่าการทำความเข้าใจกันและกัน

แนวคิด PLATO เป็นเครื่องมือที่ดีเยี่ยมในการตรวจสอบว่าสิ่งที่เรากำลังจะสื่อสารนั้นเป็น ‘ความต้องการ’ หรือ ‘วิธีการ’

  • Person (ผู้เกี่ยวข้อง)
  • Location (สถานที่)
  • Action (กิจกรรม)
  • Time (เวลา)
  • Object (วัตถุ)

ถ้าข้อความของเรามีองค์ประกอบเหล่านี้ครบ หรือเน้นไปที่ ‘ใคร’ ‘ทำอะไร’ ‘ที่ไหน’ ‘เมื่อไหร่’ ‘กับอะไร’ นั่นแปลว่าเรากำลังพูดถึง ‘วิธีการ’ ซึ่งเป็นรูปธรรมและจำเพาะเจาะจง ในทางกลับกัน ‘ความต้องการ’ จะมีความเป็นนามธรรมและสากลมากกว่า เช่น ‘ความปลอดภัย’ ‘การยอมรับ’ ‘ความเข้าใจ’ ซึ่งไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าต้องได้มาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งเท่านั้น

หลักการของ NVC ไม่ได้ห้ามไม่ให้เราพูดถึง ‘วิธีการ’ แต่สอนให้เรา ‘ตระหนักรู้ถึงความต้องการเบื้องหลัง’ และ ‘สื่อสารจากความต้องการ’ นั้นเป็นหลัก เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับการเข้าใจและหาทางออกร่วมกัน

ตัวอย่างเช่น: คุณพูดว่า “ฉันรู้สึกเสียใจ ฉันแค่ต้องการให้เธอมาตรงเวลา” เราสามารถปรับให้สื่อสารได้ตรงจุดและสร้างความเข้าใจมากขึ้น ดังนี้:

ตัวอย่างที่ 1: เน้นความต้องการเป็นหลัก

“เพื่อน (ชื่อเพื่อน) ฉันรู้สึก ‘เสียใจ’ (ความรู้สึก) ที่ต้องรอเธอนานเมื่อเธอมาสาย (การสังเกต/ข้อเท็จจริง) เพราะฉัน ‘ต้องการความตรงต่อเวลา’ และ ‘ความเคารพในเวลา’ ของฉัน (ความต้องการ) อยากจะขอให้เธอมาให้ตรงเวลากว่านี้ได้ไหมในครั้งหน้า?” (คำขอที่ชัดเจน)

ตัวอย่างที่ 2: เปิดโอกาสให้หาทางออกร่วมกัน

“เมื่อวานที่เธอมาสาย ฉันรู้สึก ‘หงุดหงิด’ เล็กน้อย (ความรู้สึก) เพราะฉัน ‘ต้องการความร่วมมือ’ เพื่อให้เราเริ่มต้นงานได้ตรงเวลา (ความต้องการ) มีอะไรที่เราจะช่วยกันได้ไหมเพื่อให้เราสามารถเริ่มงานตรงเวลาได้ในครั้งหน้า?” (คำขอและเปิดโอกาสให้หาทางออกร่วมกัน)


บทสรุป: อารมณ์ = ภาพสะท้อนของความต้องการ

คีย์สำคัญของบทความนี้ที่ผมอยากให้คุณตระหนักคือ เบื้องหลังความรู้สึก มีความต้องการซ่อนอยู่เสมอ นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนา ‘ความรับผิดชอบทางอารมณ์’ (Emotional Responsibility) หลายครั้งเราอาจเผลอคิดไปว่า “เขาทำให้เรารู้สึกแบบนี้” แต่ความจริงแล้ว… “เรารู้สึกแบบนี้ เพราะความต้องการของเราได้รับหรือไม่ได้รับการตอบสนอง” ต่างหากครับ

เพื่อช่วยให้เห็นภาพขึ้น

ตัวอย่างความรู้สึกความต้องการที่ซ่อนอยู่
เพื่อนลืนนัดผิดหวัง, โกรธต้องการ ‘ความใส่ใจ’, ‘ความสำคัญ’ หรือ ‘การให้คุณค่า’ กับเวลาของเรา
หัวหน้าชมต่อหน้าคนอื่นภูมิใจ, ตื้นตันต้องการ ‘การยอมรับ’, ‘คุณค่า’ หรือ ‘การเป็นที่ประจักษ์’
ถูกขัดจังหวะระหว่างพูดหงุดหงิดต้องการ ‘การรับฟัง’, ‘การเคารพ’ ในพื้นที่ของการแสดงออก

ดังนั้น เมื่อเราตระหนักว่า ‘ความรู้สึก = ภาพสะท้อนของความต้องการ’ เราจะสามารถพูดกับตัวเองและคนอื่นได้อย่างรับผิดชอบ โดยไม่โทษหรือกล่าวหา ตัวอย่างเช่น:

  • ไม่ใช่แค่การโทษ: “คุณทำให้ฉันรู้สึกแย่!”
  • ✅ แต่เป็นการรับผิดชอบ: “ฉันรู้สึกเสียใจ เพราะฉันต้องการความเข้าใจจากคุณ”
  • ไม่ใช่แค่การตัดสิน: “คุณไม่แคร์ฉันเลย”
  • ✅ แต่เป็นการเปิดใจ: “ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะฉันต้องการการเชื่อมโยงและการใส่ใจ”

นี่คือก้าวสำคัญของการเติบโตในแบบ SEL (Social and Emotional Learning) — การเรียนรู้ที่จะอยู่กับตนเองอย่างอ่อนโยน และสื่อสารกับโลกอย่างมีความเข้าใจ เพราะในท้ายที่สุด…อารมณ์ไม่ใช่ศัตรูของเรา แต่คือ ‘เข็มทิศที่นำทางเรากลับสู่หัวใจของตัวเราเอง’ ต่างหาก

────

Sources:
Infographic inspired by https://modelthinkers.com/mental-model/nonviolent-communication
Nonviolent Communication: A Language of Life https://ccpgc.usmf.md/sites/default/files/inline-files/Nonviolent%20Communication_%20A%20Language%20of%20Life_%20Life-Changing%20Tools%20for%20Healthy%20Relationships%20(%20PDFDrive%20).pdf

Picture of Armer Khanachang

Armer Khanachang

Founder at SELminder,

Share to

Related Posts

บทความล่าสุด

จะเป็นคนคิดบวกมากแค่ไหน ก็ยังไม่ใช่ Growth Mindset

บางครั้งการคิดบวก ก็เป็นสิ่งที่เราต้องการเพื่อฮีลใจ (เพื่อก้าวไปต่อไป) แต่บางครั้ง การเติบโตก็ต้องการให้เรานั่งอยู่กับความไม่สบายใจบ้าง

ที่ยังรู้สึกว่าชีวิตไม่มีเป้าหมาย อาจเป็นเพราะไม่เคยตั้งคำถาม..

เป้าหมายชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ต้องบังคับตัวเอง “ให้ต้องหาให้เจอ” แต่อาจคือสิ่งที่เราต้องค่อย ๆ “ตั้งคำถาม” แล้วคุยกับตัวเอง

วิชาขอบคุณตัวเอง

“วิชาขอบคุณตัวเอง” อาจไม่มีอยู่ในโรงเรียน แต่มันเริ่มต้นได้ที่ใจเรา โดยเฉพาะจากวิธีที่เราพูดเบา ๆ กับตัวเอง เช่น “ขอบคุณนะ ที่ฉันยังไม่ยอมแพ้”