การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) คืออะไร? ฝึกฝนอย่างไรดี?

การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening)
  1. ผลการศึกษาพบว่าคนทั่วไปตั้งใจฟังผู้พูดเพียง 45% เท่านั้น ส่วนที่เหลือใช้เวลาไปกับการทำสิ่งอื่นไปพร้อมๆ หรือกำลังคิดคำตอบที่จะโต้ตอบกลับไป
  2. การฟังอย่างตั้งใจ (Active listening) คือ การฟังที่ผู้ฟัง “ตั้งใจรับฟัง” สิ่งที่ผู้พูดสื่อสารออกมาทั้งทางคำพูดและไม่ใช่คำพูด
  3. การฟังอย่างตั้งใจ (Active listening) เป็นเครื่องมือทรงพลังที่สามารถเติมเต็มชีวิตส่วนตัวและอาชีพของคุณ

ลองนึกภาพคุณกำลังระบายความรู้สึกกับเพื่อน พยามเล่าถึงความทุกข์ใจ หรือสื่อความกังวลใจลึกๆ ของคุณที่ซ่อนอยู่ แต่เพื่อนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่แม้แต่จะสบตา แต่ง่วนอยู่กับการไถ่โทรศัพท์มือถือในมือ พลางปากก็พูดบอกกับคุณว่า “ใจเย็น… ปล่อยวางเถอะ… เดี๋ยวมันก็ผ่านไป…”  คุณว่าสถานการณ์แบบนี้มันน่าหงุดหวิดไหมครับ? แทนที่เราจะได้ระบายเพื่อคลายความกังวล กลับหงุดหงิดใจกับพฤติกรรมการ “ฟังแบบเมินเฉย” ของคนตรงหน้าแทน

ตอนนี้อยากให้คุณลองนึกภาพที่ตรงกันข้ามครับ มีใครสักคนที่อยู่ตรงหน้าคุณ เขาพยายามตั้งใจฟังสิ่งที่คุณพูดจริงๆ ทุกคำพูด พยายามสังเกตความรู้สึกของคุณที่เกิดขึ้น และตอบสนองด้วยคำพูดที่แสดงความเข้าใจ และพยายามมีส่วนร่วมกับคุณ นี่คือพลังของ “การฟังเชิงรุก หรือการฟังอย่างตั้งใจ (Active listening)” ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญของการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective communication) ทักษะสำคัญที่ไม่เพียงเปลี่ยนการสื่อสารของตัวเรา แต่ยังเสริมการตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) การพัฒนาความสัมพันธ์ (Relationship skills) และยังเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวและอาชีพอีกด้วย ซึ่งทักษะต่างๆ เหล่านี้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญของกระบวนการ #การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Social and emotional learning; SEL)


หลายครั้งในขณะที่เรากำลังฟัง เราอาจเผลอคิดถึงคำตอบที่เราอยากจะพูดออกไป เราอาจเผลอคิดวอกแวกไปที่เรื่องอื่นๆ  หรือเราอาจไม่ได้ใส่ใจสัญญาณการสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูด (nonverbal communication cues) ของผู้พูดมากนัก แต่การฟังอย่างตั้งใจ (Active listening) คือ การฟังที่ผู้ฟัง “ตั้งใจรับฟัง” สิ่งที่ผู้พูดสื่อสารออกมาทั้งทางคำพูดและไม่ใช่คำพูด รวมทั้งตีความไม่เพียงแค่เนื้อหา แต่ยังรวมถึงอารมณ์และภาษากายที่อยู่เบื้องหลังการสนทนาเหล่านั้นด้วย

นักจิตวิทยา Carl Rogers และ Richard Farson (1987) พวกเขาอธิบายว่าทักษะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective communication) ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของการฟังอย่างตั้งใจ (Active listening) คือการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ซี่งการฟังเชิงรุกหรือการฟังอย่างตั้งใจมีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ดังนี้

เมื่อเราฟังใครสักคนหนึ่งสื่อสารข้อความ มีความหมาย 2 ประการที่เราต้องพยายามมองหา คือ (1) เนื้อหา และ (2) ความรู้สึก ความคิด หรือทัศนคติที่อยู่เบื้องหลังข้อความเหล่านั้น  

หลังจากฟังแล้วผู้ฟังควรหาจังหวะตอบสนองต่อความรู้สึกในสิ่งที่ผู้พูดพูดออกมาด้วย เช่น “ได้ยินว่าเธอรู้สึกกังวล หรือรู้เลยว่าเธอต้องเสียใจมากๆ กับเรื่องนี้” วิธีนี้ช่วยสร้างความรู้สึกเข้าใจและสร้างความเห็นอกเห็นใจ

สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียง ความเร็วในการพูด สีหน้า หรือท่าทางร่างกาย สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเมื่อนำมารวมกันสามารถสื่อความหมายได้ลึกซึ้งกว่าเพียงแค่เนื้อหาของสิ่งที่พูด


การฟังอย่างตั้งใจ (Active listening) เป็นเครื่องมือทรงพลังที่สามารถเติมเต็มชีวิตส่วนตัวและอาชีพของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะทางอารมณ์หรือสังคม (social and emotional skills)  การมีส่วนร่วมกับผู้อื่น การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งขึ้น ปรับปรุงการสื่อสาร ซึ่งสามารถสรุปประโยชน์ของทักษะการฟังเชิงรุกหรือการฟังอย่างตั้งใจได้ดังนี้

– เชื่อมโยงกับผู้อื่นได้ลึกซึ้งขึ้นผ่านการฟังอย่างตั้งใจ ส่งเสริมสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง

– ลดความขัดแย้ง เพราะการฟังอย่างตั้งใจช่วยให้เราได้รับรู้ความรู้สึก ความต้องการ ซึ่งอาจช่วยแก้ไขปัญหาเบื้องต้นก่อนที่จะรุนแรงได้

– เพิ่มความไว้วางใจ การฟังอย่างตั้งใจแสดงให้เห็นว่า “คุณอยู่ตรงนั้นเพื่อรับฟังอย่างตั้งใจ”

– การสื่อสารที่ดีขึ้น การฟังอย่างตั้งใจสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการสื่อสารอย่างเปิดเผยและจริงใจ

– เสริมสร้างความเห็นอกเห็นใจ การฟังที่ลึกซึ้งไปถึงความรู้สึกหรือมุมมองของผู้พูด ช่วยส่งเสริมความเห็นอกเห็นใจ

– แก้ปัญหาได้ดีขึ้น การฟังอย่างตั้งใจช่วยให้คุณรวบรวมมุมมองที่หลากหลายและระดมความคิดหาทางแก้ไข

– จัดการความเครียด เมื่อคุณเข้าใจมุมมองของผู้อื่น คุณจะสามารถจัดการอารมณ์ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

– เกิดการเรียนรู้ การฟังอย่างตั้งใจช่วยให้คุณใส่ใจในข้อมูลและเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ ของผู้พูดได้ดีขึ้น

– ภาวะความเป็นผู้นำ การฟังอย่างตั้งใจส่งเสริมการทำงานร่วมกัน ความไว้วางใจ และความเข้าใจภายในทีม

– การเจรจาที่ดีขึ้น การฟังลูกค้าและเพื่อนร่วมงานอย่างตั้งใจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ทุกฝ่ายชนะ (win-win)

– การขายและการตลาดที่เพิ่มขึ้น การเข้าใจความต้องการของลูกค้าผ่านการฟังอย่างตั้งใจ นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายและการสื่อสารที่ดีขึ้น

– ความก้าวหน้าในอาชีพ ทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่แข็งแกร่งนั้นมีคุณค่าอย่างยิ่งและปูทางสู่การเติบโตในอาชีพ


เทคนิคจากมุมมองของเว็ปไซต์ mindtools ได้แชร์เทคนิคการฟังที่สำคัญ 5 ข้อ ที่จะช่วยให้คุณเป็นผู้ฟังที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

– มองผู้พูดโดยตรง

– ละทิ้งความคิดที่ฟุ้งซ่าน

– อย่าเตรียมโต้แย้ง!

– “ฟัง” ภาษากายของผู้พูดด้วย

– พยักหน้าเป็นครั้งคราว

– ยิ้มและใช้สีหน้าที่สอดคล้องกับเรื่องราว

– สังเกตภาษากายของตนเองว่ามีท่าทางเปิดกว้างหรือปิดกั้น

– ใช้ภาษาตอบรับเพื่อแสดงว่ากำลังรับฟังเล็กๆ น้อยๆ เช่น อืมมม  อ่าฮะ อ๋อ แบบนี้นี่เอง

ไม่ว่าจะเป็นการตัดสิน อคติ หรือความเชื่อส่วนบุคคล สิ่งต่างๆ เหล่านี้บิดเบือนหรือปิดกั้น “สิ่งที่เราได้ยิน” ดังนั้น ในฐานะผู้ฟังบทบาทของคุณคือ การสะท้อน (reflecting) สิ่งที่คุณได้ยิน และถามคำถาม (questioning) เพื่อรีเช็คว่าคุณเข้าใจถูกต้องใช่ไหม

“สิ่งที่ฉันได้ยินคือ… ” และ “ฟังดูเหมือนคุณกำลังพูดว่า… ” ถือเป็นวิธีที่ดีในการสะท้อนกลับ

“ฉันเข้าใจถูกไหมว่า…” “คุณหมายความว่ายังไงที่บอกว่า…” “….นี่คือสิ่งที่คุณหมายถึง?”

สรุปความเห็นของผู้พูดเป็นระยะๆ

– พยายามไม่ขัดจังหวะ

– ปล่อยให้ผู้พูดพูดให้จบแต่ละประเด็นก่อนค่อยถามคำถาม

– อย่าขัดจังหวะด้วยการโต้แย้ง

– มีใจที่เปิดกว้างรับฟัง

– แสดงความเห็นด้วยความเคารพ

– ปฏิบัติต่ออีกฝ่ายในแบบที่คุณคิดว่าพวกเขาต้องการได้รับการปฏิบัติ

………………………………

เทคนิคจากการศึกษาวิจัยเรื่อง “Active Listening” in Written Online Communication ของ Bauer, C. and Figl, K. (2008) ได้สรุป 7 เทคนิคที่ส่งเสริมทักษะการฟังอย่างตั้งใจ ดังนี้

TechniquePurposeTo achieve itExamples
Paraphrasing
(การกล่าวซ้ำ)
เพื่อแสดงให้ผู้พูด
เห็นว่าเราสนใจรับฟัง
การกล่าวซ้ำถอยคำของผู้พูด ด้วยภาษาและสไตล์ของเราเอง“เข้าใจเลยว่าช่วงนี้คุณกำลังเครียดเรื่องงาน…”
Verbalizing emotions
(การบอกอารมณ์)
เพื่อช่วยให้ผู้พูดได้ยินและประเมินความรู้สึกของตนเองพูดสะท้อนความรู้สึกและอารมณ์พื้นฐานของผู้พูด“เหมือนว่าสิ่งที่เขาพูด
ทำให้คุณรู้สึกโกรธ…”
Asking
(การถาม)
เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมถามคำถามที่เน้นข้อมูล“หลังจากเหตุการณ์นั้น
คุณทำอย่างไร…”
Summarizing
(การสรุปความ)
เพื่อสรุปแนวคิดที่เกิดขึ้น และเนื้อหาสพคัญจากการพูดคุยสรุปความทั้งเนื้อหาและความรู้สึกที่เกิดขึ้น“ฉันเข้าใจถูกไหมว่า…
(สรุปสิ่งที่ได้ยิน)”
Clarifying
(การทำให้ชัดเจน)
เพื่อเคลียร์ความชัดเจนในสิ่งที่ได้ยิน ช่วยให้ผู้พูดเห็นมุมมองอื่นๆถามคําถามเพิ่มเติมสำหรับข้อมูลที่คลุมเครือ เพื่อรีเช็คการตีความที่อาจผิด เพื่อให้ผู้พูดอธิบายเพิ่มเติม“หัวหน้าต่อว่าคุณในวันเดียว กับที่คุณทำข้อมูลผิดใช่ไหม?”
Encouraging
(การกระตุ้น)
เพื่อกระตุ้นให้ผู้พูดพูดต่อไปใช้น้ำเสียงที่แตกต่างกัน ให้มุมมองและข้อเสนอแนะ“คุณจะตัดสินใจอย่างไรต่อ…”
Balancing
(การรักษาสมดุล)
เพื่อช่วยให้ผู้พูดได้ประเมินความคิด-ความรู้สึกของตนเองถามคำถามที่เน้นการประเมิน“ถ้าให้คะแนนความสุข
ในงานนี้ คุณให้เท่าไหร่…”

บทสรุป – เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมบางบทสนทนาทำให้คุณรู้สึกได้ยินและเข้าใจ ในขณะที่บางบทสนทนาทำให้คุณรู้สึกไม่ได้ยินและมองไม่เห็น? คำตอบนั้นอยู่ที่ศิลปะการฟังอย่างตั้งใจ (Active listening) นี่ละครับ ซึ่งเป็นทักษะที่ไปไกลกว่าแค่การได้ยินคำพูด แต่มันช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับผู้พูดได้อย่างแท้จริง (ในระดับที่ลึกซึ้ง)

นอกจากนั้น ทักษะการฟังอย่างตั้งใจ (Active listening) ยังเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวและอาชีพอีกด้วย และยังส่งเสริม #การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Social and emotional learning) ในส่วนของการพัฒนาความสัมพันธ์ (Relationship skills) ให้กับคุณอีกด้วย ฉะนั้น คุณพร้อมหรือยังครับ ที่จะพัฒนาทักษะอันทรงพลังนี้ในชีวิตประจำวัน?



References:
https://positivepsychology.com/active-listening-techniques/
https://www.mindtools.com/az4wxv7/active-listening
https://www.coursera.org/articles/active-listening
Bauer, C., & Figl, K. (2008). ‘Active listening’ in written online communication-a case study in a course on ‘soft skills’ for computer scientists. In 2008 38th Annual Frontiers in Education Conference (pp. F2C–1). IEEE.
Rogers, C. R., & Farson, R. E. (1987). Active listening. In R. G. Newman, M. A. Danziger, & M. Cohen (Eds.), Communicating in business today. DC Heath & Company.

Picture of Armer Khanachang

Armer Khanachang

Founder at SELminder,

Share to

Related Posts

บทความล่าสุด

16 วิธีมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ

16 วิธีมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ เหล่านี้ไม่ได้ต้องการให้คุณหาเวลาว่างเพิ่ม มันแค่ต้องการให้คุณกลับมาอยู่กับตนเองอย่างมีสติ (Mindfully) มากขึ้น

จะเป็นคนคิดบวกมากแค่ไหน ก็ยังไม่ใช่ Growth Mindset

บางครั้งการคิดบวก ก็เป็นสิ่งที่เราต้องการเพื่อฮีลใจ (เพื่อก้าวไปต่อไป) แต่บางครั้ง การเติบโตก็ต้องการให้เรานั่งอยู่กับความไม่สบายใจบ้าง

ที่ยังรู้สึกว่าชีวิตไม่มีเป้าหมาย อาจเป็นเพราะไม่เคยตั้งคำถาม..

เป้าหมายชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ต้องบังคับตัวเอง “ให้ต้องหาให้เจอ” แต่อาจคือสิ่งที่เราต้องค่อย ๆ “ตั้งคำถาม” แล้วคุยกับตัวเอง