4 มิติตระหนักรู้ตนเอง ❘ เราอยู่จุดไหน และจะปรับเปลี่ยนอย่างไร

4 มิติตระหนักรู้ตนเอง

“คุณคิดว่าตัวเองมี Self-awareness ไหม?” (สมมุติคุณผู้อ่านตอบว่ามี) ผมอยากถามต่อว่า “คุณคิดว่าตนเองมีระดับใด? หรือมีมากน้อยแค่ไหน?” ผลการศึกษาจาก Harvard Business Review พบว่า 95% ของผู้คนคิดว่าตนเองมีความตระหนักรู้ในตนเอง แต่มีเพียง 10-15% เท่านั้นที่ตระหนักรู้ในตนเองจริงๆ (ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้)

ผลการศึกษานี้เผยให้เราเห็นความจริงข้อหนึ่งที่ว่า ผู้คนประเมินระดับการตระหนักรู้ในตนเองที่สูงเกินจริง คำถามที่ผมสนใจคือ “แล้วทำไมคนถึงไม่ค่อยมี Self-awareness?” “การตระหนักรู้ในตนเองคืออะไรกันแน่?” “และถ้าเราจะจริงจังเพื่อสร้างให้เกิดขึ้น จะต้องทำอย่างไร?” บทความนี้อยากชวนคุณผู้อ่านมาร่วมค้นหาคำตอบไปด้วยกันนะครับ…


การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) คืออะไร?


การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) คือ ความสามารถในการกลับเข้ามารับรู้ภายในของตนเอง ทั้งอารมณ์ ความคิด ค่านิยม ทัศนคติ มุมมอง ความชอบ เป้าหมาย จุดแข็ง จุดอ่อน  ความท้าทาย และอื่นๆ และเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มีผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจของตนเองอย่างไร

จากการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ (Social and Emotional Learning หรือ SEL) โดย CASEL (Collaborative for Academic, Social, and Emotional Learning) ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 5 องค์ประกอบคือ

  • การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness)
  • การจัดการตนเอง (Self-management)
  • การตระหนักรู้ทางสังคม (Social awareness)
  • ทักษะด้านความสัมพันธ์ (Relationship skills)
  • การตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible decision-making)

การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด และเป็นพื้นฐานของความสามารถอื่นๆ ที่จะตามมา กล่าวคือ เมื่อเราตระหนักรู้ในตนเอง เราจะสามารถจัดการกับความคิด อารมณ์และความรู้สึกได้ดีขึ้น เข้าใจมุมมองของผู้อื่น สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และตัดสินใจอย่างมีความคิดรอบคอบ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเดินทางไปอย่างดีเมื่อคุณมีการตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) ที่แข็งแรง

TIPS! ทักษะที่จำเป็นช่วยพัฒนาความตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) ได้แก่:
– การติดป้ายอารมณ์ความรู้สึก (Labeling) ของตนเอง
– การระบุสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์ (Triggers) ของตนเอง
– การวิเคราะห์อารมณ์และผลกระทบ (Affect) ของมันต่อผู้อื่น
– การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมของตนเอง
– การรับรู้ความต้องการ คุณค่า การตัดสิน และอคติของตนเอง
– การระบุจุดแข็งและด้านที่ต้องพัฒนาของตนเอง
– การฝึกความเห็นอกเห็นใจตนเอง
– การสร้างความมั่นใจในตนเอง การเห็นคุณค่าในตนเองในแง่บวก (Self-compassion)
– การพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโต (Growth mindset)

การศึกษาจาก Harvard Business Review ได้ให้ข้อมูลเพิ่มว่าการตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) มีสององค์ประกอบสำคัญ ได้แก่

1) ตระหนักรู้ภายในตนเอง (Internal self-awareness) คือ การรับรู้หรือเข้าใจที่เกิดจากการมองกลับเข้ามาที่ตัวเราเองเป็นหลัก ว่าเรามีความคิดอย่างไร มีความรู้สึกอย่างไร และมีค่านิยมภายในอะไร ตลอดจนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของตัวเราอย่างไร
2) ตระหนักรู้ภายนอกตนเอง(external self-awareness) คือ การรับรู้หรือเข้าใจว่าผู้อื่นมองตัวเราอย่างไร (ซึ่งการตระหนักรู้ตนเองจากภายนอก อาจไม่ตระหนักรู้ตนเองจากภายในด้วยเสมอไป การวิจัยแสดงให้เห็นว่าทั้งสองด้านนี้ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน)

คำถามคือ “แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ด้านใดที่เรามีหรือด้านใดที่เรายังขาดและต้องการการพัฒนา? การศึกษานี้ได้ระบุ Archetypes (ลักษณะต้นแบบ) ของ 4 มิติตระหนักรู้ตนเอง ดังนี้


ผู้สำรวจตนเอง คือ ผู้ที่มีความตระหนักรู้ภายในตนเองสูง แต่มีความตระหนักรู้ภายนอกต่ำ การคอยสำรวจตนเองอยู่เสมอมันสามารถช่วยให้เรารู้จักตัวเองได้ดีขึ้น แต่ข้อควรระวังของคนกลุ่มนี้คือ ถ้าหากเรามีอคติต่อตนเองล่ะ? การสำรวจตนเองนั้นๆ ผลลัพธ์อาจอาจกลายเป็นกล่าวโทษหรือดุด่าตัวเอง (ซึ่งสานการณ์จริงอาจไม่ได้รุนแรงหรือ ทำผิดอะไรเลยก็เป็นได้)

ข้อดี:

  • คน Introspectors มีความเข้าใจในตัวเองอย่างชัดเจน พวกเขารู้ถึงอารมณ์ ความคิด และค่านิยมภายในของตนเอง
  • จุดเด่นของคนกลุ่มนี้คือ พวกเขาใช้เวลามากในการเขียนบันทึกหรือสะท้อนความคิดและความรู้สึกของตนเอง และพยายามตระหนักถึงพฤติกรรมและการกระทำของตน

ข้อเสีย:

  • พวกเขาอาจมีปัญหาในการยอมรับความคิดเห็นจากผู้อื่น ขาดการรับ Feedback
  • บางครั้งการพิจารณาตนเอง อาจส่งผลให้ติดอยู่ในลูปของความคิดที่หมกมุ่นอยู่กับของตัวเองอย่างไม่จบสิ้น ทำให้เกิดความกลัวหรือความวิตกกังวลในชีวิตขึ้นมาได้
  • ความกลัวส่งผลให้เราไม่กล้าทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตไปได้

วิธีการปรับปรุง:

  • มองหาข้อเสนอแนะ Feedback จากเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท หรือเจ้านายเกี่ยวกับพฤติกรรมและการกระทำของคุณ แน่นอนว่าบางครั้งมันอาจเป็นเรื่องยากที่จะรับฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากถูกชี้ให้เห็นจุดอ่อนของคุณ เช่น การรับฟังผู้อื่น หรือความอดทนในการรอ เป็นต้น
  • ฝึกการฟังอย่างตั้งใจและเปิดรับคำติชมที่สร้างสรรค์
  • มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ส่งเสริมการรับรู้จากภายนอก เช่น โครงการทีมและกิจกรรมทางสังคม

ผู้แสวงหา คือ คนที่มีความตระหนักรู้ภายในตนเองต่ำ และความตระหนักรู้ภายนอกก็ต่ำด้วย ผู้แสวงหาอาจจะเป็นคนที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับชีวิต ยังขาดเป้าหมายที่ชัดเจน หรืออาจเป็นคนที่กำลังรู้สึกหลงทางไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน

ข้อดี:

  • คน Seekers มักมีความอยากรู้และเต็มใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเองและผู้อื่น
  • พวกเขามีศักยภาพในการเติบโตหากมีที่ปรึกษาหรือโค้ชช่วยนำทางในการค้นพบตัวตน

ข้อเสีย:

  • คนกลุ่มนี้มักขาดความเข้าใจที่ชัดเจนว่าตนเองเป็นใคร ต้องการอะไร และมีคุณค่าภายในอะไร
  • ความไม่แน่นอนนี้อาจนำไปสู่ความหงุดหงิดในตนเอง และอาจติดขัดในการพัฒนาผลงาน

วิธีการปรับปรุง:

  • ตั้งคำถามเพื่อสำรวจตนเองบ่อยๆ และพยายามบันทึกความคิด ความรู้สึกลงสมุดโน้ต ตัวอย่างคำถามเช่น ฉันชอบทำอะไร? ฉันถนัดอะไร? ฉันเก่งอะไร? หรือฉันทำอะไรได้ดี? (ถึงแม้สิ่งนั้นจะถนัดหรือไม่ถนัด)
  • กำหนดเป้าหมายในการพัฒนาส่วนบุคคลและอาชีพให้ชัดเจน เพื่อสร้างความรู้สึกมีทิศทาง
  • ติดต่อเพื่อนสนิทอย่างน้อยสามคนและขอให้พวกเขาตอบคำถามเกี่ยวกับตัวคุณ ตัวอย่างเช่น ทักษะอันดับหนึ่งที่คุณเห็นในตัวฉันคืออะไร? สิ่งที่คุณคิดว่าฉันเก่งโดยธรรมชาติมีอะไรบ้าง? สิ่งที่คุณคิดว่าฉันทำได้ไม่ดีเลยมีอะไรบ้าง?

ไม่ว่าคำตอบที่ได้จะออกมาในทิศทางบวกหรือลบ ผมมองว่านี่เป็นก้าวแรกที่ถูกต้องสู่การมีความตระหนักรู้ในตนเองมากขึ้น


ผู้เอาใจคนอื่น คือ คนที่มีความตระหนักรู้ภายนอกสูง แต่มีความตระหนักรู้ภายในตนเองต่ำ หนึ่งในสิ่งที่อันตรายที่สุดของคนกลุ่มนี้คือ การที่พวกเขาพยายามทำให้ทุกคนสบายใจหรือชื่นชอบ แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ชีวิตตนเองลำบากก็ตาม และยังให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้อื่นมาก่อนความต้องการของตัวเองด้วย!

ข้อดี:

  • คน Pleasers มีความเข้าใจในความต้องการและความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นอย่างดี
  • ถูกมองว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี เอาใจใส่ และคอยสนับสนุนซัพพอร์ตทีมอยู่เสมอ

ข้อเสีย:

  • ละเลยความต้องการและความปรารถนาของตนเอง เพราะคอยแต่จะตอบสนองความต้องการของคนอื่น
  • หลงลืมตัวตน เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาอาจตัดสินใจในสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับตัวตนหรือความพึงพอใจของตนเอง
  • พยายามทำให้ทุกคนพอใจ จนบางทีถูกมองว่าเป็นนกสองหัวไปทันที
  • อาจโดนเอาเปรียบเนื่องจากคนกลุ่มนี้ยอมไปหมดทุกอย่าง คนอื่นอาจฉวยจังหวะนี้จี้จุดอ่อนและเลือกที่จะใช้มันเพื่อเอาเปรียบ

วิธีการปรับปรุง:

  • เรียนรู้การตั้งขอบเขตและให้ความสำคัญกับความต้องการของตนเอง
  • ฝึกความกล้าในการสื่อสารความรู้สคก ความต้องการ หรือการบอกเล่าเป้าหมายของตนเอง
  • สะท้อนค่านิยมส่วนตนอยู่เสมอ และคอยตรวจสอบให้แน่ใจว่าการกระทำของตัวเรานั้นสอดคล้องกับสิ่งที่เรายึดถือหรือไม่ ไม่ใช่เพียงแค่การแสวงหาการยอมรับจากภายนอกเท่านั้น

TIPS! ทักษะที่จำเป็นช่วยพัฒนาการจัดการตนเอง (Self-management) ได้แก่:
– การควบคุมและแสดงออกทางอารมณ์ของตนเอง (Regulating and expressing)
– การแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความยืดหยุ่นในการเอาชนะอุปสรรค (Perseverance and resilience)
– การเซต healthy boundaries ที่ดีต่อตนเอง
– การใช้กลยุทธ์เพื่อลดความเครียดส่วนตัวและระหว่างบุคคล
– การตั้งและติดตามเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว
– การปกป้องตนเองและความต้องการของตนเอง
– การรักษาสมาธิ
– การใช้ Feedback constructively อย่างสร้างสรรค์


ผู้ตระหนักรู้ คือ คนที่มีความตระหนักรู้ภายในตนเองสูง และมีความตระหนักรู้ภายนอกสูงด้วยเช่นกัน ดังนั้น กลุ่มคน Aware จะมีความสามารถในการรับรู้และเข้าใจความรู้สึก อารมณ์ และความต้องการของตนเอง ตลอดจนคอยสังเกตพฤติกรรมตนเองที่แสดงออกว่าส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร

ข้อดี:

  • กล่มคน Aware มีความเข้าใจที่สมดุลระหว่างตัวตนภายในและตัวตนภายนอกที่แสดงออก รวมถึงผลที่เกิดกับผู้อื่น
  • พวกเขารู้ว่าตนเองคือใคร ต้องการอะไร ทั้งยังเข้าใจตนเองในด้านจุดแข็ง จุดที่ควรพัฒนา และคุณค่าที่ตนเองยึดถือ
  • การตระหนักรู้ตนเองเป็นฐานรากไปสู่การบริหารจัดการตนเองได้ (Self-management)

ข้อเสีย:

  • แม้ว่า The Aware จะมีข้อเสียที่น้อยกว่า แต่การรักษาสมดุลไว้เป็นสิ่งที่ต้องใช้ทั้งความพยายามในการรับรู้ความคิด ความรู้สึกทางบวกทางลบที่คอยจะ Pop-up ขึ้นมา และการดึงสติกลับมาอยู่กับปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง
  • ต้องคอยระมัดระวังเพื่อไม่ให้กลับไปสู่นิสัยแบบเดิมๆ

วิธีการปรับปรุง:

  • ฝึกการสะท้อนตนเองอย่างต่อเนื่องและมองหา Feedback เป็นประจำ
  • รักษาความคิดแบบ Growth Mindset ไว้ และเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ และโอกาสในการเรียนรู้
  • ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่สนับสนุนการเติบโตร่วมกันและความเข้าใจ

บทสรุป —ข้อมูลทั้ง 4 มิติตระหนักรู้ตนเอง ช่วยให้เราเข้าใจว่าเราอยู่ในเลเวลไหนของการตระหนักรู้ในตนเอง สามารถช่วยให้เราระบุจุดแข็งและจุดที่ต้องปรับปรุงได้ เมื่อเราพยายามทำงานอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาการตระหนักรู้ในตนเองทั้งภายในและภายนอก คุณสามารถประสบความสำเร็จส่วนบุคคลและอาชีพมากยิ่งขึ้น จำไว้ว่าการตระหนักรู้ในตนเองเป็นการเดินทางที่ต่อเนื่องที่ต้องการการสะท้อนตนเอง ข้อเสนอแนะ และการเติบโตอยู่เสมอ

References:
https://hbr.org/2018/01/what-self-awareness-really-is-and-how-to-cultivate-it
https://www.mindsetwithmuscle.com/blog/kb10-the-4-levels-of-self-awareness
https://ihf-fih.org/news-insights/the-importance-of-self-awareness-in-becoming-better-leaders/

Picture of Armer Khanachang

Armer Khanachang

Founder at SELminder,

Share to

Related Posts

บทความล่าสุด

16 วิธีมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ

16 วิธีมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ เหล่านี้ไม่ได้ต้องการให้คุณหาเวลาว่างเพิ่ม มันแค่ต้องการให้คุณกลับมาอยู่กับตนเองอย่างมีสติ (Mindfully) มากขึ้น

จะเป็นคนคิดบวกมากแค่ไหน ก็ยังไม่ใช่ Growth Mindset

บางครั้งการคิดบวก ก็เป็นสิ่งที่เราต้องการเพื่อฮีลใจ (เพื่อก้าวไปต่อไป) แต่บางครั้ง การเติบโตก็ต้องการให้เรานั่งอยู่กับความไม่สบายใจบ้าง

ที่ยังรู้สึกว่าชีวิตไม่มีเป้าหมาย อาจเป็นเพราะไม่เคยตั้งคำถาม..

เป้าหมายชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ต้องบังคับตัวเอง “ให้ต้องหาให้เจอ” แต่อาจคือสิ่งที่เราต้องค่อย ๆ “ตั้งคำถาม” แล้วคุยกับตัวเอง