ทักษะการยอมรับ (Acceptance)


เคยรู้สึกไหมว่ายิ่งเราพยายามหนีหรือกดข่มความรู้สึก เช่น ความเศร้า ความโกรธ หรือความผิดหวังมากเท่าไหร่… เรากลับยิ่งรู้สึกแย่ลงมากขึ้นเท่านั้น?

ดร. รัส ฮาร์ริส (Dr. Russ Harris) ได้ให้คำตอบที่น่าสนใจไว้ในหนังสือ “The Happiness Trap” ว่า

“The opposite of a feeling is not a feeling, it’s another feeling.”
“สิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึก ไม่ใช่ ‘การไม่มีความรู้สึก’ แต่คืออีกความรู้สึกหนึ่ง”

เมื่อเราเข้าใจว่าความรู้สึกไม่สามารถ “หายไป” ได้ด้วยการปฏิเสธ แต่มันจะเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกอื่นเสมอ ดังนั้น “การยอมรับ” (Acceptance) จึงเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญดูแลจิตใจ เพราะการยอมรับ…

  1. มันช่วยให้เราเข้าใจว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์บวกหรือลบ มันล้วนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์มนุษย์
  2. แทนที่จะพยายาม “ต่อต้าน” “กดข่ม” หรือ “หลบหนี” จากความรู้สึกที่ไม่ดี การยอมรับจะช่วยเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ แทนที่จะรีบร้อนพยายามทำให้มันหายไป

คำถามคือ เราจะฝึกทักษะการยอมรับได้อย่างไร? วันนี้ผมได้รวบรวม 10 วิธีฝึก ทักษะการยอมรับ (Acceptance) หนึ่งในหัวใจสำคัญของ #การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม หรือ SEL (Social and Emotional Learning) ซึ่งช่วยเสริมทั้ง Self-awareness (การตระหนักรู้ในตนเอง) และ Self-management (การจัดการอารมณ์ตนเอง) ผสานกับแนวคิดจากหนังสือ “The Happiness Trap” มาลองดูกันครับว่า คุณทำข้อไหนได้แล้วบ้าง และข้อไหนที่ยังสามารถพัฒนาต่อได้! 😉


10 เทคนิคฝึกฝน ทักษะการยอมรับ (Acceptance)

การตระหนักรู้ (Awareness) เป็นก้าวแรกของการยอมรับ เปรียบเสมือนการเปิดไฟในห้องมืด – เมื่อเรา “มองเห็น” อารมณ์ของตัวเองอย่างชัดเจน เราจึงจะ “อยู่กับมัน” ได้อย่างสงบ และรับมืออย่างมีสติ

วิธีฝึกฝน:

  • ลองตั้งใจ “ฟัง” ร่างกายตัวเอง เช่น หัวใจเต้นแรง มือเย็น ไหล่เกร็ง
  • ใช้เวลาเฝ้าสังเกตอารมณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ตัดสินว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี”
  • ฝึกมองความรู้สึกอย่างเป็นกลาง เช่น “ตอนนี้มีความรู้สึกโกรธเกิดขึ้น” แทนที่จะบอกว่า “ฉันโกรธ”

การสังเกตเช่นนี้จะช่วยให้เราแยก “ตัวตน” ออกจาก “อารมณ์” และเปิดพื้นที่ภายในใจสำหรับการยอมรับ

การหายใจอย่างมีสติ (Mindful Breathing) เป็นเครื่องมือง่ายๆ แต่ทรงพลัง เพราะมันเชื่อมโยงทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยให้เราหยุด พัก และสังเกตก่อนตอบสนองต่ออารมณ์ที่พุ่งขึ้นมา

วิธีฝึกฝน:

  • เมื่อรู้สึกไม่พอใจหรือเครียด ลองใช้เทคนิค 4-7-8 Breathing:
    ➤ หายใจเข้า 4 วินาที ➤ กลั้นหายใจ 7 วินาที ➤ หายใจออก 8 วินาที
  • การหายใจลึกแบบนี้จะช่วยลดความตึงเครียด และเปิด “พื้นที่ในใจ” ให้เราเลือกตอบสนองอย่างมีสติ
  • ฝึกเป็นประจำ แม้ในช่วงเวลาปกติ เพื่อให้สมองและร่างกายจดจำเทคนิคนี้ได้ดีเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้จริง
  • ใช้แอปฯ นำทางการหายใจ หรือกำหนดเวลาพักหายใจลึกๆ วันละ 2–3 ครั้ง เพื่อรีเซ็ตตัวเองเบาๆ ระหว่างวัน

กฏพื้นฐานข้อที่ 1 ของการจัดการตนเอง (Self-management) คือการโฟกัสเฉพาะสิ่งที่เราควบคุมได้ เพราะหลายครั้งความไม่สบายใจของเรามาจาก “ความพยายามควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้” เทคนิคนี้จึงช่วยให้เรา เห็นขอบเขตของความรับผิดชอบของตนเองอย่างชัดเจน และหันมาใส่ใจกับสิ่งที่เราสามารถจัดการได้จริง

วิธีฝึกฝน:

  • ลองเขียน “วงกลม 2 วง”
    ➤ วงแรก: สิ่งที่ฉันควบคุมได้
    ➤ วงที่สอง: สิ่งที่ฉันควบคุมไม่ได้
  • ทุกคืนก่อนนอน ลองจดบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น แล้วแยกใส่วงกลมให้ชัด
  • วงกลม “ควบคุมได้” จะช่วยให้เราวางแผนรับมืออย่างเป็นรูปธรรม เช่น ตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริง
  • วงกลม “ควบคุมไม่ได้” จะช่วยให้เราเข้าใจว่ามีบางสิ่งที่ต้องเรียนรู้ที่จะ อยู่กับมันอย่างอ่อนโยน

ลองพูดกับตัวเองว่า: “แม้ฉันจะควบคุมสิ่งนี้ไม่ได้ แต่ฉันยังควบคุม ‘วิธีตอบสนอง’ ของตัวเองได้เสมอ”

การมองผ่านสายตาของผู้อื่น เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเข้าใจโลกให้กว้างขึ้น ไม่ใช่เพียงเพื่อเห็นใจคนอื่นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจว่า…บางทีสิ่งที่เรารู้สึก “รับไม่ได้” อาจเกิดจากการมองเพียงด้านเดียว

วิธีฝึกฝน:

  • ลองนึกดูว่า…ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์แบบเขา เราอาจตัดสินใจไม่ต่างกัน
  • ฝึกตั้งคำถามกับตัวเองอย่างเห็นอกเห็นใจ เช่น:
  • “อะไรที่ทำให้เขาคิดหรือทำแบบนั้น?”
  • “เขาอาจกำลังเผชิญกับอะไรอยู่หรือเปล่า?”

เมื่อเราเปิดใจรับมุมมองอื่น ความตึงเครียดในใจเราจะคลี่คลาย และ ความเข้าใจจะค่อยๆ แทนที่ความไม่พอใจ
ซึ่งนี่คือการฝึก “ความตระหนักรู้ทางสังคม” (Social Awareness) ในแบบฉบับของ SEL อย่างแท้จริง


การเขียนเป็นเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ช่วยให้เรามองเห็นความคิดและความรู้สึกของตัวเองอย่าง “เป็นรูปธรรม” มากขึ้น เมื่อสิ่งที่อยู่ในใจถูกถ่ายทอดออกมาบนกระดาษ มันมักเบาลง และเปิดทางให้เราทำความเข้าใจตัวเองได้ชัดเจนขึ้น

วิธีฝึกฝน:

  • ใช้เทคนิค เขียนไหล” (free writing) คือ เขียนทุกอย่างที่ผุดขึ้นมาในใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องไวยากรณ์หรือความเรียบร้อย เน้นการปล่อยให้อารมณ์ไหลออกมาอย่างอิสระ
  • เว้นระยะ 1–2 วันแล้วกลับมาอ่านทบทวน เพื่อมองเห็น “มุมมองใหม่” หรือความเปลี่ยนแปลงของความรู้สึก
  • ใช้คำถามนำ เช่น:
  • “ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้?”
  • “เบื้องหลังความโกรธของฉันคืออะไร?”
  • “จริงๆ แล้วฉันกลัวอะไร?”

การเขียนจะกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เรา “ปลดปล่อย” และ “ประมวล” อารมณ์อย่างอ่อนโยน

การพูดกับตัวเอง (Self-talk) อย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่การปฏิเสธความจริงหรือหลอกตัวเอง แต่มันคือ “การเลือกมุมมอง” ที่ช่วยพาเราเติบโตและก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากได้อย่างมีพลัง

วิธีฝึกฝน:

  • แทนที่จะพูดว่า “ทำไมฉันถึงโชคร้ายแบบนี้” ลองเปลี่ยนเป็น “นี่อาจเป็นโอกาสที่ทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น”
  • สร้างประโยคที่ให้กำลังใจตัวเอง แล้วท่องซ้ำๆ จนกลายเป็น “เสียงภายใน” ที่คอยอยู่ข้างเรา เช่น
  • “ฉันกำลังเรียนรู้ ไม่ใช่ล้มเหลว”
  • “ฉันไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แค่พยายามก็เพียงพอแล้ว”
  • เขียนบันทึกความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน เพื่อเตือนใจว่า “ฉันผ่านอะไรมาได้มากกว่าที่คิดเสมอ”

การฝึกพูดดีกับตัวเองเป็นการปลูกเมล็ดของความเมตตาในใจ ที่จะผลิบานออกมาเป็น “พลังใจ” ในวันที่เราต้องการมากที่สุด


หนึ่งในแนวคิดสำคัญจาก The Happiness Trap คือ “อย่าต่อสู้หรือหลีกหนีอารมณ์” เพราะยิ่งเราพยายามผลักไสความรู้สึก เช่น ความเศร้า ความโกรธ หรือความผิดหวัง …อารมณ์เหล่านั้นกลับยิ่งรบกวนใจเรามากขึ้น การฝึกยอมรับจึงไม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งใหญ่โต แต่สามารถเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน แล้วค่อยๆ สร้างความแข็งแรงภายในใจ

วิธีฝึกฝน:

  • เริ่มจากยอมรับสิ่งเล็กๆ ที่ไม่ถูกใจ เช่น
  • “อาหารจานนี้อาจไม่อร่อยที่สุด…แต่ฉันยังเพลิดเพลินกับมื้ออาหารนี้ได้”
  • ฝึกระบุ “ชื่อ” ของอารมณ์ เช่น
  • “ตอนนี้มีความรู้สึกโกรธ”
  • “กำลังเศร้าอยู่…และนั่นไม่เป็นไร”
    การตั้งชื่อแบบนี้ช่วยลดแรงต้าน และเปิดพื้นที่ให้เราอยู่กับอารมณ์อย่างเป็นมิตร

การฝึกสติ คือการพาจิตใจ “กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ” โดยไม่หลงติดไปกับความคิดหรืออารมณ์ใดๆ ที่ผ่านมา
เหมือนการนั่งดูเมฆลอยผ่านท้องฟ้า – เรามองเห็นมัน…แต่ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหรือผลักไสมันออกไป

วิธีฝึกฝน:

  • เริ่มจากการฝึกสติวันละ 5–10 นาที เลือกช่วงเวลาที่เงียบสงบ เช่น ตอนเช้าหรือก่อนนอน
  • ใช้ลมหายใจเป็นจุดยึด เมื่อใจวอกแวก ให้ค่อยๆ ดึงกลับมาอย่างอ่อนโยน
  • นำ “สติ” ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เดินอย่างรู้ตัว รับประทานอาหารโดยไม่ดูมือถือ ล้างจานด้วยความรู้สึกตัว
  • การฝึกสติจะช่วยให้เรารับรู้อารมณ์โดยไม่ถูกพัดพาไป และสามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างสงบ

การให้อภัย ไม่ได้แปลว่า “ยอมรับในสิ่งที่ผิด” หรือ “ลืมสิ่งที่เกิดขึ้น” แต่มันคือ “การปล่อยวาง” ความขุ่นเคืองที่เรากำลังแบกไว้ เพื่อให้ ตัวเราเองได้เป็นอิสระ การให้อภัยจึงไม่ใช่ของขวัญที่มอบให้ผู้อื่นเท่านั้น แต่คือของขวัญที่เรามอบให้ “หัวใจของเราเอง”

วิธีฝึกฝน:

  • เริ่มต้นจากการยอมรับว่า “ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์” – ทุกคนล้วนเคยพลาด รวมถึงตัวเราเอง
  • เขียนจดหมายให้อภัย (แม้จะไม่ส่ง) เพื่อระบายความรู้สึกที่คั่งค้างอยู่ข้างใน
  • เปลี่ยนมุมมองว่า การให้อภัยไม่ใช่การยอมแพ้หรืออ่อนแอ
    แต่คือการเลือกที่จะไม่ให้ “อดีต” มากำหนด “ปัจจุบัน” ของเราอีกต่อไป

เมื่ออารมณ์เชิงลบเกิดขึ้น เรามักตกอยู่ในวงจรความคิดที่หมุนวน การ “ลงมือทำ” จึงเป็นสะพานที่พาเราข้ามจากความคิด มาสู่การเคลื่อนไหวที่เติมพลังบวกให้กับใจ

วิธีฝึกฝน:

  • เมื่อรู้สึกไม่สบายใจ ลองเลือกทำกิจกรรมเล็กๆ ที่ช่วยเบี่ยงเบนความคิด เช่น เดินออกไปสูดอากาศ ออกกำลังกายระยะสั้น ฟังเพลงโปรด หรือวาดรูป
  • การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยลดระดับความหมกมุ่น และทำให้จิตใจเบาลง
  • บางครั้งการพูดคุยกับคนที่คุณไว้ใจ ก็ช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ และทำให้คุณเรียนรู้ว่า… “เราสามารถอยู่กับอารมณ์เหล่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องติดอยู่กับมัน”

  • การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness): การยอมรับความรู้สึกของตนเองเป็นขั้นตอนแรกของการตระหนักรู้ในตนเอง
  • การจัดการตนเอง (Self-management): การยอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้จากมัน จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับอารมณ์และพฤติกรรมของตนเองได้ดีขึ้น
  • ความเข้าใจผู้อื่น (Social awareness): การยอมรับความแตกต่างของผู้อื่น จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น
  • ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ (Relationship skills): การยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างและการให้อภัย จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

บทสรุป – “ยอมรับ” คำง่ายๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม แต่กลับเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการอารมณ์และความเครียดในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนทำงานยุคใหม่ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายและแรงกดดันมากมาย การฝึกฝนทักษะการยอมรับ จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามคาดได้อย่างมีสติและประสิทธิภาพ

สุดท้ายนี้ ทักษะการยอมรับ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณสามารถยอมรับสิ่งต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ คุณจะพบว่าชีวิตของคุณมีความสุขและสงบสุขมากขึ้น


Sources:

Harris, R. (2008). The happiness trap: How to stop struggling and start living. Trumpeter Books. Retrieved from https://psycnet.apa.org/record/2008-00854-000

The happiness trap website:  https://thehappinesstrap.com/free-resources/

Acceptance and Commitment Therapy (ACT) https://www.childrenhospital.go.th/wp-content/uploads/2023/04/Acceptance-and-Commitment-Therapy-ACT-for-Adolescent-and-Application-in-COVID-19.pdf

Collaborative for Academic, Social, and Emotional Learning (CASEL) Retrieved from https://casel.org/fundamentals-of-sel/what-is-the-casel-framework/

Picture of Armer Khanachang

Armer Khanachang

Founder at SELminder,

Share to

Related Posts

บทความล่าสุด

16 วิธีมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ

16 วิธีมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ เหล่านี้ไม่ได้ต้องการให้คุณหาเวลาว่างเพิ่ม มันแค่ต้องการให้คุณกลับมาอยู่กับตนเองอย่างมีสติ (Mindfully) มากขึ้น

จะเป็นคนคิดบวกมากแค่ไหน ก็ยังไม่ใช่ Growth Mindset

บางครั้งการคิดบวก ก็เป็นสิ่งที่เราต้องการเพื่อฮีลใจ (เพื่อก้าวไปต่อไป) แต่บางครั้ง การเติบโตก็ต้องการให้เรานั่งอยู่กับความไม่สบายใจบ้าง

ที่ยังรู้สึกว่าชีวิตไม่มีเป้าหมาย อาจเป็นเพราะไม่เคยตั้งคำถาม..

เป้าหมายชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ต้องบังคับตัวเอง “ให้ต้องหาให้เจอ” แต่อาจคือสิ่งที่เราต้องค่อย ๆ “ตั้งคำถาม” แล้วคุยกับตัวเอง