การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) สิ่งที่คิด VS. สิ่งที่เป็น


“คุณมี Self-Awareness หรือเปล่า…?” หากวันนี้มีคนเดินมาถามผมด้วยคำถามนี้ ก่อนที่ผมจะตอบ ผมคงอดไม่ได้ที่จะย้อนถามกลับไปว่า “เราเข้าใจความหมายของคำว่า Self-Awareness ตรงกันอยู่ไหมครับ…?”

Self-Awareness หรือ การตระหนักรู้ในตนเอง เป็นคำที่เราได้ยินกันบ่อยในหนังสือแนวพัฒนาตนเอง แต่น่าแปลกที่หลายคนเข้าใจแค่ว่า Self-Awareness คือ การรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง *การศึกษาจากองค์กร CASEL (Collaborative for Academic, Social, and Emotional Learning) ผู้บุกเบิกด้านการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม ได้เปิดมุมมองใหม่ที่ลึกซึ้งและน่าสนใจเกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงของคำนี้

วันนี้ #เพจSELminder ผมอยากชวนคุณมาสำรวจว่า คนทั่วไปมักเข้าใจ Self-Awareness อย่างไร และเปรียบเทียบกับกรอบแนวคิดของ CASEL ที่อาจทำให้คุณต้องมองคำนี้ใหม่…



การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) ตามที่คิด VS. ตามที่เป็น

การตระหนักรู้ในตนเองมักถูกเข้าใจแบบผิวเผินและถูกลดทอนให้เหลือแค่ลักษณะหรือพฤติกรรมบางอย่าง ต่อไปนี้คือความเข้าใจผิดที่พบบ่อย:

  1. “ฉันรู้จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง…”: หลายคนคิดว่าการตระหนักรู้ในตนเอง คือ การสามารถบอกได้ว่า “ตัวฉันมีจุดแข็งและจุดอ่อนอะไร?” เหมือนการติ๊กถูกในเช็กลิสต์ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ใช่ความลึกซึ้งที่แท้จริงของการตระหนักรู้ในตนเอง
  2. “ฉันยอมรับเมื่อทำผิด… “: บางคนมองว่าการตระหนักรู้ในตนเองคือการยอมรับเมื่อทำผิด แม้ว่าการยอมรับข้อผิดพลาดจะเป็นสิ่งที่ดี แต่การตระหนักรู้นั้นไปไกลกว่าการยอมรับข้อผิดพลาดเพียงอย่างเดียว
  3. “ฉันรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง…”: หลายคนเชื่อว่าการสะท้อนอารมณ์ตัวเองคือสิ่งเดียวกับการตระหนักรู้ในตนเอง แต่การมองแค่มิติเดียวนี้อาจพลาดในการทำความเข้าใจโลกภายในที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
  4. “ฉันสังเกตพฤติกรรมตัวเองได้…”: บางคนเข้าใจว่าการตระหนักรู้ในตนเองคือการสังเกตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แม้ว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ แต่การสังเกตโดยปราศจากความเข้าใจลึกซึ้ง ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

ความเข้าใจแบบจำกัดเหล่านี้อาจทำให้เราตระหนักรู้ในตนเองเพียงแค่ผิวเผิน และพลาดโอกาสในการสัมผัสประโยชน์อันลึกซึ้งของมัน 🌟


ตามกรอบแนวคิดของ CASEL การตระหนักรู้ในตนเองไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด เปรียบเหมือนการสำรวจมหาสมุทรที่ยิ่งดำลึกลงไป ยิ่งพบความมหัศจรรย์มากขึ้น


1. การรับรู้อารมณ์ของตัวเอง (Recognizing Your Emotions) : เริ่มต้นจากการเข้าใจว่าเรารู้สึกอะไร และทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น เช่น เราโกรธเพราะรู้สึกถูกกดดัน หรือเพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเคารพ? ความเข้าใจในระดับนี้ช่วยให้เราจัดการอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


2. การมองตัวเองอย่างเป็นจริง (Accurate Self-Perception) : การยอมรับจุดแข็งและจุดอ่อนโดยไม่โอ้อวดหรือปฏิเสธ มันคือการรู้จักว่าเราเป็นใคร ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราทำ และมองตัวเองอย่างเป็นกลาง


3. การเข้าใจผลกระทบของการกระทำ (Understanding the Impact of Your Actions) : ตระหนักว่าพฤติกรรมของเราส่งผลต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างไร การตระหนักรู้นี้ช่วยให้เราปรับเปลี่ยนการกระทำให้สอดคล้องกับเจตนาของเรา


4. การรู้คุณค่าและความเชื่อของตัวเอง (Knowing Your Values and Beliefs) : การรู้ในข้อนี้จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจและลงมือกระทำ ในสิ่งที่สอดคล้องกับความเชื่อและคุณค่าที่เรายึดถือได้ สิ่งนี้เกิดจากการทบทวนตัวเองอย่างสม่ำเสมอ


5. การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Self-efficacy) : การเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองที่จะรับมือกับความท้าทาย ไม่ใช่ความหยิ่งผยอง แต่เป็นความเข้าใจในตัวเองอย่างสมดุลที่ช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ


6. รู้ระบุตัวจุดชนวนอารมณ์ (Triggers): การรู้ว่าอะไรกระตุ้นให้เราแสดงปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่รุนแรง รวมถึงการเข้าใจว่าทำไมบางสถานการณ์หรือบางคำพูดถึงกระทบใจเราได้มาก เมื่อเรารู้จักจุดกดดันของตัวเอง เราก็จะสามารถเตรียมรับมือก่อนระเบิดได้


7. ตระหนักรู้ประสบการณ์ (Cultural Identity): เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เข้าใจรากของตัวมัน การตระหนักว่าพื้นเพและประสบการณ์ที่ผ่านมาหล่อหลอมมุมมองของเราอย่างไร มันส่งผลต่อการตัดสินใจและการแสดงออกของเราอย่างไร การตระหนักรู้นี้ส่งเสริมความเข้าใจตนเองและการยอมรับผู้อื่น


8. ตระหนักในอคติที่ซ่อนอยู่ (Mindfulness of Biases): เปรียบเหมือนการส่องกระจกที่สะท้อนมุมมืดในใจเรา การระบุอคติที่เราอาจมีและพยายามลดผลกระทบของอคติที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ส่งผลต่อความสัมพันธ์และความเห็นอกเห็นใจ


9. การมีเมตตาต่อตัวเอง (Empathy for Yourself): การกอดรับตัวตน (Self-Compassion) เปรียบเหมือนการที่เรามีเพื่อนที่ดีที่สุดคือตัวเอง การเข้าใจว่าความไม่สมบูรณ์แบบคือส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์ สิ่งนี้ช่วยให้เรารับมือกับความท้าทายและความล้มเหลวด้วยความเข้าใจและมีเมตตาต่อตัวเอง


10. การทบทวนตัวเองอย่างต่อเนื่อง (Self-Reflection): การทบทวนความคิด อารมณ์ และการกระทำอย่างสม่ำเสมอ เปรียบเหมือนการเดินทางสำรวจโลกภายในที่ไม่มีวันสิ้นสุด ยิ่งเดินทาง ยิ่งค้นพบ ยิ่งเติบโต


บทสรุป -การพัฒนา Self-awareness ไม่ต่างอะไรจากการค่อยๆ เพิ่มแสงสว่างในห้องมืด ยิ่งสว่างมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเห็นและเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้นเท่านั้น แม้บางครั้งสิ่งที่เห็นอาจไม่สวยงาม แต่การเห็นความจริงย่อมดีกว่าการอยู่ในความมืด เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวเอง…

Source:
https://casel.org/fundamentals-of-sel/what-is-the-casel-framework/

Picture of Armer Khanachang

Armer Khanachang

Founder at SELminder,

บทความล่าสุด

การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) สิ่งที่คิด VS. สิ่งที่เป็น

Self-Awareness หรือ การตระหนักรู้ในตนเอง เป็นคำที่เราได้ยินกันบ่อยในหนังสือแนวพัฒนาตนเอง แต่น่าแปลกที่หลายคนยังไม่เข้าใจคำนี้

9 นิสัยขโมยความสุข (ที่เรากำลังขโมยออกจากตัวเอง)

“การเข้าใจภาษาของอารมณ์” คือกุญแจสู่การตระหนักรู้ในตัวเอง (Self-awareness) รวมถึงการเข้าใจคุณค่าภายใน และการปรับปรุงชีวิตให้สมดุลมากขึ้น

10 Simple Ways to Become 10x Better Everyday!
เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น 10X ด้วย 10 นิสัยสำเร็จที่ใครก็ทำได้

การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ ล้วนเริ่มต้นจากการทำสิ่งเล็กๆ ซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน และนี่คือ 10 วิธีที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างง่ายๆ และครั้งนี้ คุณจะทำได้จริง