ยิ่งไม่ชอบ ยิ่งอยากส่อง : The Psychology of Hate-Following

The Psychology of Hate-Following
The Psychology of Hate-Following


“คุณเคยเลื่อนดูฟีดโซเชียลมีเดียของคนที่คุณรู้สึกไม่ชอบบ้างไหม..? ถ้าเคย..! คุณไม่ใช่คนเดียวที่มีพฤติกรรมแบบนี้ครับ เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘การตามติดโดยเกลียดชัง’ หรือ Hate-following คือ พฤติกรรมที่ผู้คน ‘ใช้เวลาออนไลน์’ ไปกับการติดตามและสอดส่องชีวิตของคนที่พวกเขารู้สึกไม่ชอบ หงุดหงิด (หรือถึงขั้นเกลียด) ทั้งในแง่ของคำพูด ความคิด การกระทำ หรือตัวตนของบุคคลเหล่านั้น

ดร.เจนนิเฟอร์ เบ็คเก็ตต์ (Jennifer Beckett) ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้สื่อจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น อธิบายถึงเหตุผลของการเลือกติดตามคนที่ตนไม่ชอบ เป็นเพราะพฤติกรรมนี้สามารถนำไปสู่การหลั่งสารเอนดอร์ฟินในร่างกายได้ โดยเฉพาะเมื่อเราพบเห็นเนื้อหาที่ทำให้รู้สึก ‘How dare you!’ (หรืออารมณ์ประมาณว่า ‘เมิงก็กล้าดีเนอะ… คนด่าทุกวันยังมั่นจะไลฟ์อีก!’) เป็นต้น

บทความนี้ #เพจSELminder ผมจะชวนพูดคุยถึงเบื้องหลังจิตวิทยาและมุมมืดของการตามติดโดยเกลียดชัง รวมถึงการประยุกต์ใช้ทักษะ #การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Social and Emotional Learning หรือ SEL) เพื่อการรู้เท่าทันและจัดการตนเองได้ทัน ก่อนตกหลุมพรางของการเกลียด!


  1. ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison)
    มนุษย์มีแนวโน้มเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นอยู่เสมอ และ “โซเชียลมีเดียคือตัวกระตุ้นชั้นดี” ที่ทำให้การเปรียบเทียบนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราติดตามคนที่ไม่ชอบเพราะต้องการรู้สึกเหนือกว่า หรือเพื่อยืนยันว่าฉันดีกว่า อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบนี้อาจนำไปสู่ความรู้สึกไม่มั่นคงหรืออิจฉา จนเกิดเป็นวงจรความรู้สึกด้านลบ
  2. เพื่อความบันเทิง (Entertainment Factor)
    สำหรับบางคน การติดตามคนที่ไม่ชอบเป็นเรื่องของความบันเทิง การได้เห็นชีวิตของคนที่เกลียด สร้างความรู้สึกสนุกแบบแปลกๆ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามีพฤติกรรมแย่ๆ หรือมีเรื่องให้ได้ตามด่า *ข้อควรระวัง: ความสนุกนี้อาจกลายเป็นนิสัยการเสพติดอารมณ์ด้านลบ
  3. อยากรู้อยากเห็น (Curiosity)
    เราอาจสนใจชีวิต ความคิด และการกระทำของคนที่เราไม่ชอบ เพียงเพราะพวกเขาแตกต่างหรือเป็นสิ่งที่เราไม่เข้าใจ ความอยากรู้นี้อาจผลักดันให้เราติดตาม แม้จะรู้ว่าไม่ได้นำพาสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเราก็ตาม
  4. ยืนยันความเชื่อ (Validation of Beliefs)
    การติดตามคนที่เราไม่ชอบช่วยตอกย้ำความคิดและความเชื่อของเรา การสังเกตพฤติกรรมหรือมุมมองที่ขัดแย้ง ทำให้เรารู้สึกมั่นคงในความเชื่อของตนเอง จึงเกิดแรงจูงใจในการติดตามข่าวสารของคนที่คิดต่าง
  5. เปิดมุมมองใหม่ (Challenging Perspectives)
    บางคนเลือกติดตามผู้ที่มีมุมมองต่างเพื่อเปิดโลกทัศน์ใหม่ การทำเช่นนี้อาจนำไปสู่การเติบโต แต่คุณต้องมีทักษะการตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) และการจัดการตนเอง (Self-management) ที่เหมาะสมด้วย หากไม่สามารถจัดการได้ดี การรับเนื้อหาด้านลบมากเกินไปอาจนำไปสู่ความเครียดและความอึดอัดใจ
  6. ออกจากวงจรความคิดที่คล้ายคลึงกัน (Avoiding Echo Chambers)
    เพื่อไม่ให้ติดอยู่ในสังคมออนไลน์ที่มีแต่คนคิดเหมือนกัน บางคนจึงเลือกติดตามผู้ที่มีความคิดต่าง อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจส่งผลเสียหากต้องเผชิญกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ด้านลบบ่อยครั้ง จนกระทบต่อสภาพจิตใจโดยรวม
  1. การลดทอนความเป็นมนุษย์ (Dehumanization)
    การติดตามคนที่เราไม่ชอบอาจทำให้เราค่อยๆ ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาลง โดยเลือกมองเห็นแต่ข้อเสีย จนพวกเขากลายเป็นเพียงตัวละครหรือตัวแทนของสิ่งที่เราไม่ชอบ พฤติกรรมนี้อาจกระตุ้นให้เกิด:
    – ความรู้สึกต่อต้านที่รุนแรงขึ้น
    – ความรู้สึกชอบธรรมในการวิพากษ์วิจารณ์
    – การเยาะเย้ยถากถางที่เพิ่มดีกรีความรุนแรง
  2. การบูลลี่และการแสดงความเกลียดชัง (Cyberbullying and Trolling)
    การติดตามคนที่เราไม่ชอบอาจพัฒนาไปสู่พฤติกรรมการบูลลี่และเกลียดชังบนโลกออนไลน์ การซ่อนตัวภายใต้สถานะ “ผู้มีส่วนร่วมโดยไม่ระบุตัวตน” (Anonymous) กระตุ้นให้เราเกิดพฤติกรรม:
    – วิจารณ์และเหยียดหยามผู้อื่นได้อย่างสนุกปากง่ายมากขึ้น
    – ขาดความยับยั้งชั่งใจในการแสดงความคิดเห็น
    – ข้อความที่ส่งไปเกิดผลกระทบทางจิตใจต่อทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ
  3. เกิดความเคยชินในการมองเห็นแต่ข้อเสียของผู้อื่น (Increased Distrust)
    การเผชิญกับผู้คนที่เราไม่ชอบเป็นประจำ อาจทำให้มุมมองต่อโลกของเราเบี่ยงเบนไปในทางลบ กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายและไม่ไว้ใจผู้อื่น ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวและมุมมองของเราที่มีต่อโลกใบนี้
  4. ความนับถือตนเองลดลง (Lowered Self-Esteem)
    การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่ดูเหมือนมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบกว่า ส่งผลกระทบต่อความนับถือตนเองของเราได้ การเห็นชีวิตของคนอื่นซ้ำๆ แม้จะเป็นคนที่เราไม่ชอบ ก็อาจทำให้เราเริ่มตั้งคำถามกับการตัดสินใจและความสำเร็จของตัวเองได้
  5. ความเครียดและความวิตกกังวล (Stress and Anxiety)
    การมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่กระตุ้นอารมณ์เชิงลบสามารถเพิ่มความเครียดและความวิตกกังวลให้เราได้ การรับข้อมูลที่ไม่มีความสุขจากคนที่เราไม่ชอบบ่อยๆ อาจกลายเป็นแรงกดดันที่ค่อยๆ บั่นทอนสุขภาพจิตของเรา
  6. ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ (Emotional Fatigue)
    การเผชิญกับเนื้อหาหรือบุคคลที่เรารู้สึกไม่ชอบใจอย่างต่อเนื่อง อาจนำไปสู่ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ซึ่งความเหนื่อยล้าชนิดนี้อาจสะท้อนออกมาในอาการทางกาย ทำให้เราสูญเสียความสามารถในการโฟกัส มีปฏิสัมพันธ์ในเชิงบวก และสนุกกับชีวิตประจำวันของเรา

การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Social and Emotional Learning – SEL) ตามกรอบแนวคิดของ CASEL เป็นเครื่องมือที่ช่วยลดผลกระทบด้านลบจากพฤติกรรม ‘การตามติดโดยเกลียดชัง’ หรือ Hate-following  ได้ โดยเน้นการพัฒนาสมรรถนะทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ การตระหนักรู้ในตนเอง การจัดการตนเอง การตระหนักรู้ทางสังคม ทักษะความสัมพันธ์ และการตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งสามารถช่วยสร้างนิสัยการใช้โซเชียลมีเดียที่ดีและส่งผลบวกต่อสุขภาพจิตได้ ดังนี้

ช่วยให้เรารับรู้และเข้าใจอารมณ์หรือแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมการ “ติดตามคนที่ไม่ชอบ” การเข้าใจตนเองนำไปสู่การใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีสติและเกิดผลดีต่อจิตใจ

การนำไปใช้:

  • ลองสำรวจความรู้สึกของคุณเมื่อดูบัญชีโซเชียลมีเดียบางบัญชี
  • ตั้งคำถามว่าบัญชีเหล่านี้ส่งผลดีหรือร้ายต่อภาพลักษณ์และมุมมองของตัวคุณเอง

ช่วยควบคุมปฏิกิริยาและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตนเอง ลดการกระทำโดยไม่ยั้งคิด เช่น การใช้บัญชี “ผู้มีส่วนร่วมโดยไม่ระบุตัวตน” (Anonymous) ไปพิมพ์ด่าหรือโจมตีบุคคลที่เกลียด

การนำไปใช้:

  • ตั้งขอบเขตเวลาในการใช้โซเชียลมีเดีย เช่น กำหนดเวลาเฉพาะสำหรับการใช้งานหรือจำกัดเวลาต่อวัน
  • ฝึกควบคุมตนเองโดยเลือกไม่ติดตามหรือปิดเสียงบัญชีที่ทำให้เกิดอารมณ์ลบ

ช่วยให้เรามองโลกด้วยความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจมุมมองของผู้อื่น ลดการตัดสินหรือมองข้ามความเป็นมนุษย์ของคนที่เราไม่ชอบ

การนำไปใช้:

  • ก่อนจะโต้ตอบหรือแสดงความเห็นใด ๆ ให้เตือนตัวเองว่าทุกคนมีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน
  • อย่าใช้มุมมองของตัวเราเองเที่ยวไปตัดสินผู้อื่น

ทักษะนี้ช่วยให้เราสร้างปฏิสัมพันธ์ที่เคารพซึ่งกันและกัน และสนับสนุนการสร้างชุมชนดิจิทัลที่ดี ทำให้เรารับมือกับความแตกต่างได้โดยไม่ปล่อยให้อารมณ์ด้านลบเข้ามามีบทบาท

การนำไปใช้:

  • เน้นติดตามบัญชีที่สร้างแรงบันดาลใจและสนับสนุนคุณ
  • มีปฏิสัมพันธ์ในเชิงบวก
  • ใช้ฟังก์ชันปิดเสียงหรือเลิกติดตามสำหรับบัญชีที่ทำให้คุณรู้สึกเครียดหรืออึดอัดบ่อย ๆ

การตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบช่วยให้เราเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจิตและอารมณ์ของเรา การใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างมีสติจะช่วยให้เราใช้พื้นที่ดิจิทัลเพื่อส่งเสริมชีวิต แทนที่จะบั่นทอน

การนำไปใช้:

  • ประเมินฟีดโซเชียลมีเดียของคุณเป็นประจำ
  • ดูว่ามันสอดคล้องกับคุณค่าหรือเป้าหมายของคุณหรือไม่
  • หากพบว่ามีบัญชีที่ส่งผลเสียต่อจิตใจ ลองลบหรือปิดเสียง และแทนที่ด้วยเนื้อหาที่เพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตคุณ

บทสรุป

การ “ติดตามคนที่เราไม่ชอบ” เป็นพฤติกรรมที่พบได้ทั่วไป แต่หากเรามองหาเหตุผลเชิงลึก จะช่วยให้เรามีปฏิสัมพันธ์ในโลกออนไลน์อย่างตั้งใจมากขึ้น การนำหลักการของ SEL มาใช้ จะช่วยให้เราเปลี่ยนความสนใจไปสู่ความสัมพันธ์และเนื้อหาที่สนับสนุนสุขภาพจิตและการเติบโตของเรา ลองประเมินนิสัยการใช้โซเชียลมีเดียของคุณ และพิจารณาว่าการปรับเปลี่ยนเล็ก ๆ อย่างมีสติจะช่วยสร้างประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีและเติมเต็มชีวิตคุณได้อย่างไรบ้าง


───────
การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม
socialandemotionallearning
เพจselminder

Start aware, Act responsibly
รากฐานที่มั่นคงของคน คือรากฐานของอารมณ์ที่แข็งแรง


Sources:

https://www.abc.net.au/news/2020-09-29/when-hate-following-becomes-a-toxic-habit/12616006
https://www.independent.co.uk/life-style/the-psychology-behind-why-we-hatefollow-people-on-social-media-b1837751.html



Picture of Armer Khanachang

Armer Khanachang

Founder at SELminder,

บทความล่าสุด

การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) สิ่งที่คิด VS. สิ่งที่เป็น

Self-Awareness หรือ การตระหนักรู้ในตนเอง เป็นคำที่เราได้ยินกันบ่อยในหนังสือแนวพัฒนาตนเอง แต่น่าแปลกที่หลายคนยังไม่เข้าใจคำนี้

9 นิสัยขโมยความสุข (ที่เรากำลังขโมยออกจากตัวเอง)

“การเข้าใจภาษาของอารมณ์” คือกุญแจสู่การตระหนักรู้ในตัวเอง (Self-awareness) รวมถึงการเข้าใจคุณค่าภายใน และการปรับปรุงชีวิตให้สมดุลมากขึ้น

10 Simple Ways to Become 10x Better Everyday!
เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น 10X ด้วย 10 นิสัยสำเร็จที่ใครก็ทำได้

การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ ล้วนเริ่มต้นจากการทำสิ่งเล็กๆ ซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน และนี่คือ 10 วิธีที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างง่ายๆ และครั้งนี้ คุณจะทำได้จริง