เขาเตือนเพราะหวังดีหรือมีเจตนาแอบแฝง!
เราชอบเวลาที่มีใครมาเตือนเราไหมครับ? คำเตือนเป็นเสมือนดาบสองคมที่ต้องใช้วิจารณญาณในการรับฟัง บางคนรู้สึกดีเมื่อได้รับคำแนะนำ แต่บางคนก็หวาดระแวงว่าจะมีเจตนาแอบแฝงหรือไม่
เพราะ “คำเตือนเป็นดาบสองคม” ที่ต้องการการแยกแยะ ทำให้ทุกครั้งเวลามีใครมาให้คำเตือนทักษะการตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) จึงเป็นหนึ่งในทักษะที่ควรหยิบมาใช้อยู่เสมอ
วันนี้เพจ SELminder จะมาชวนคุณผู้ฟังตระหนักรู้ทุกคำเตือน ด้วย 5 วิธีสังเกตที่ผมสรุปมาจากหนังสือที่ชื่อว่า “Interpersonal Communication: Everyday Encounters” ผู้เขียน Julia T. Wood นักวิชาการด้านการสื่อสาร ซึ่งจะเปิดเผยเทคนิคในการถอดรหัสน้ำเสียงและเจตนาที่ซ่อนเร้นในข้อความ บูรณาการเข้ากับทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Social and Emotional Learning หรือ SEL)
5 วิธีสังเกตคำเตือนว่าหวังดีหรือมีเจตนาแอบแฝง!
1. ฟังน้ำเสียงและการเลือกใช้คำพูด
น้ำเสียงและคำพูดเป็นด่านแรกที่ช่วยบอกเจตนาของคำเตือนได้อย่างชัดเจน
- หวังดี: น้ำเสียงจริงใจ ไม่กดดัน หรือทำให้คุณรู้สึกแย่ เช่น “เราอยากให้คุณลองปรับดูตรงนี้นะ เพราะมันน่าจะดีขึ้นได้”
- แอบแฝง: น้ำเสียงดูเย้ยหยัน หรือใช้คำพูดเสียดแทง มีเจตนาทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ เช่น “แบบนี้อีกแล้วเหรอ? ไม่เคยเรียนรู้เลยใช่ไหม”
วิธีสังเกต: ตระหนักถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังได้ยินคำเตือน มีเจตนาทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่หากคำพูดทำให้คุณรู้สึกอึดอัดหรือเหมือนถูกตำหนิ ให้ตั้งคำถามกับเจตนาและลองประเมินว่าเขาให้ข้อมูลที่ช่วยแก้ปัญหาหรือไม่
2. ดูพฤติกรรมและการกระทำหลังการเตือน
คำเตือนที่มาจากความหวังดีมักมาพร้อมการสนับสนุนหรือคำแนะนำเพิ่มเติม
- หวังดี: หลังเตือน ผู้พูดมักเสนอตัวช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำเชิงสร้างสรรค์ เช่น “ถ้าต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม เรายินดีช่วยนะ”
- แอบแฝง: หลังเตือน ผู้พูดอาจแสดงอาการพอใจที่คุณลำบากใจ เช่น การแอบยิ้มเยาะ หรือเดินจากไปโดยไม่สนใจผลลัพธ์
วิธีสังเกต: ดูว่าผู้พูดมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือหรือไม่ หากไม่มีความต่อเนื่องในเชิงบวก เจตนาอาจไม่หวังดี
3. ดูความเฉพาะเจาะจง
คำเตือนที่ดีมักเจาะจงและชัดเจน
- หวังดี: คำเตือนจะระบุปัญหาอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น “การเขียนรายงานนี้ควรเพิ่มข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหัวข้อ A และ B นะครับ”
- แอบแฝง: คำเตือนมักคลุมเครือ หรือดูเหมือนจงใจทำให้คุณรู้สึกผิด เช่น “งานแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนมีคุณภาพทำหรอก”
วิธีสังเกต: หากคำเตือนไม่มีเนื้อหาที่ช่วยพัฒนาคุณ คำเตือนนั้นอาจไม่ได้มาจากความหวังดี
4. วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่คำเตือนนำไปสู่
คำเตือนที่มาจากเจตนาดีจะช่วยให้คุณพัฒนาหรือหลีกเลี่ยงปัญหา
- หวังดี: ผลลัพธ์ของคำเตือนช่วยให้คุณตัดสินใจดีขึ้น หรือสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เช่น คุณหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในอนาคต
- แอบแฝง: ผลลัพธ์ของคำเตือนอาจทำให้คุณรู้สึกท้อแท้ เสียความมั่นใจ หรือกังวลเกินเหตุ
วิธีสังเกต: หากคำเตือนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ เจตนาอาจมาจากความปรารถนาดี
5. ถามคำถามเพื่อเปิดเผยเจตนา
การถามคำถามเชิงบวกช่วยเปิดเผยเจตนาได้
- หวังดี: หากถามกลับด้วยคำถาม เช่น ” คุณมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง?” “เราจะปรับปรุงได้อย่างไรให้ดียิ่งขึ้น?” คนที่หวังดีมักตอบอย่างสร้างสรรค์และมุ่งช่วยแก้ปัญหา เปิดโอกาสให้ผู้เตือนขยายความคิด
- แอบแฝง: หากตอบแบบหลบเลี่ยงหรือแสดงอาการหงุดหงิด หรือสวนกลับด้วยความฉุนเฉียว และพยายามหลีกเลี่ยงรายละเอียดเชิงสร้างสรรค์ เจตนาอาจไม่ได้มาจากความหวังดี
วิธีสังเกต: ใช้คำถามที่กระตุ้นการตอบเชิงสร้างสรรค์เพื่อแยกแยะความจริงใจ
* และสามารถพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับผู้พูดเพิ่มเติมได้
- หวังดี: คนที่เตือนเพราะหวังดีมักเป็นคนที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับคุณ เช่น เพื่อนสนิท ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานที่เชื่อถือได้
- แอบแฝง: คนที่เตือนแบบแอบแฝงมักเป็นคนที่มีความขัดแย้งกับคุณ หรือมีเป้าหมายบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของเขา
วิธีสังเกต: หากความสัมพันธ์ไม่สนิทกันหรือมีประวัติความขัดแย้ง ให้ใช้วิจารณญาณพิจารณาเจตนาที่แท้จริง
การที่เรามีทักษะทางอารมณ์และสังคม (Social and Emotional Skills) จะช่วยให้เราสามารถประเมินและตระหนักรู้คำเตือนได้อย่างรู้ตัว เพื่อที่จะสามารถจัดการอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้ อันนำไปสู่การตัดสินใจเลือกแสดงออกอย่างมีความรับผิดชอบ ดังนี้
1. การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness)
คำเตือนช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านตั้งคำถามกับตัวเอง เช่น
- เรามองคำเตือนของผู้อื่นอย่างไร?
- อารมณ์หรือความรู้สึกของเราต่อคำเตือนนั้นคืออะไร?
การตระหนักถึงความรู้สึกและปฏิกิริยาของตนเองเมื่อได้รับคำเตือน เป็นก้าวแรกของการพัฒนาความสามารถในการตระหนักรู้ในตัวเอง
2. การจัดการตนเอง (Self-Management)
การรับมือกับคำเตือนที่แอบแฝงหรือคำวิจารณ์เชิงลบต้องใช้ทักษะการควบคุมอารมณ์ เช่น
- การรักษาความสงบเมื่อต้องเผชิญคำเตือนที่อาจไม่จริงใจ
- การเลือกตอบสนองอย่างมีสติแทนการโต้ตอบด้วยอารมณ์
3. การตระหนักรู้ทางสังคม (Social Awareness)
ไม่ว่าคำเตือนจะมาด้วยเจตนาอะไร มันช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของผู้อื่นมากขึ้น เช่น
- การวิเคราะห์น้ำเสียง ท่าที และความสัมพันธ์กับผู้เตือนช่วยให้เรามีความเห็นอกเห็นใจหรือหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด
4. ทักษะด้านความสัมพันธ์ (Relationship Skills)
การแยกแยะคำเตือนที่หวังดีจากคำเตือนแอบแฝงช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เช่น
- เราจะเลือกเปิดใจรับคำแนะนำจากคนที่จริงใจ
- ในทางกลับกัน เราจะรักษาระยะห่างจากคนที่มีเจตนาแอบแฝง
สิ่งนี้ช่วยให้ความสัมพันธ์แข็งแรงขึ้นและลดความขัดแย้ง
5. การตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Decision-Making)
เมื่อเข้าใจเจตนาของคำเตือนแล้ว เราจะสามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม เช่น
- จะยอมรับคำเตือนที่สร้างสรรค์เพื่อพัฒนาตัวเอง
- จะเพิกเฉยต่อคำเตือนที่มีเจตนาไม่ดีโดยไม่ปล่อยให้อารมณ์ส่งผลต่อการตัดสินใจ
References
CASEL. (n.d.). What is SEL? Retrieved from https://casel.org/
Wood, J. T. (2015). Interpersonal Communication: Everyday Encounters (8th ed.). Cengage Learning.