8 กับดักของอัตตา (Ego) และวิธีใช้ Self-awareness

8 กับดักของอัตตา (Ego)
และวิธีใช้ Self-awareness


บางครั้งเรารู้สึกอยาก “เหนือกว่า” คนอื่นโดยไม่รู้ตัว เช่น อยากเด่นที่สุดในกลุ่ม อยากให้คนชื่นชมเยอะๆ อยากได้รับการยอมรับมากกว่าคนข้างๆ… ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงบทบาทของ “อัตตา” ในตัวเรา

ในหนังสือ Master Your Emotions ผู้เขียน Thibaut Meurisse กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่าอัตตา (Ego) ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือเลว แต่มันคือผลลัพธ์ของการขาด Self-awareness” และมันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากความคิด มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง แต่เป็นสิ่งที่เราผูกโยง “ตัวตนของเรา” กับ “สิ่งนอกตัว” เช่น ชื่อเสียง ตำแหน่ง หรือสถานะ เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า

ผมเชื่อว่าแฟนขาประจำของเพจ SELminder พอเห็นคำว่า Self-awareness (การตระหนักรู้ในตนเอง) ก็คงรู้ได้ทันทีว่านี่คือ เบอร์หนึ่งในห้าความสามารถหลักตามกรอบแนวคิดของ SEL (Social and Emotional Learning) เพราะมันเกี่ยวข้องกับความสามารถในการรับรู้และเข้าใจอารมณ์ ความคิด ความต้องการ และค่านิยมที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของตนเอง


  1. มองว่าการมี = การเป็น
    อัตตาทำให้เรารู้สึกว่า “ฉันมีมาก = ฉันมีคุณค่ามาก”
  2. อยู่ได้ด้วยการเปรียบเทียบ
    เราจะรู้ว่าตัวเอง “เก่ง” หรือ “ดี” ก็ต่อเมื่อมีใครบางคน “ด้อย” กว่า
  3. ไม่เคยพอ
    เพราะความรู้สึกเหนือกว่าคนอื่นต้องอาศัยการเติมเต็มตลอดเวลา
  4. ต้องการการยอมรับจากภายนอก
    เพื่อพิสูจน์คุณค่าภายในที่ยังไม่มั่นคง

และหนึ่งในกลไกที่อัตตาใช้บ่อยคือ… การรู้สึกเหนือกว่าคนอื่น”

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ อัตตากับ Self-awareness อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะเมื่อเราตระหนักรู้จริงๆ ว่า “ตัวเรา” คือใคร และอะไรคือคุณค่าที่แท้จริงจากภายใน เราจะไม่รู้สึกว่าต้องเหนือกว่าใครเพื่อรู้สึกมีคุณค่า



8 กับดักของอัตตา (Ego)


ผู้เขียน คุณ Thibaut Meurisse อธิบายว่า อัตตาของเราต้องการความโดดเด่นและรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่นเสมอ จึงสร้างกำแพงหลอกๆ ขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกตนเองออกจากอัตตาอื่น โดย 8 กับดักของอัตตา (Ego) อีโก้ ที่มันชอบใช้ มีดังนี้

เมื่อคุณมีเพื่อนที่ฉลาด มีชื่อเสียง หรือประสบความสำเร็จ อัตตาของคุณจะพยายามหาจุดเชื่อมโยงกับพวกเขาเพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหลายคนจึงชอบอวดถึงเพื่อนที่ฉลาด ร่ำรวย หรือมีชื่อเสียงของตน

มนุษย์มักชอบนินทา เพราะการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นทำให้รู้สึกแตกต่างและเหนือกว่าในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง นี่คือเหตุผลที่บางคนชอบดูถูกผู้อื่นและพูดให้ร้ายลับหลัง

เมื่อเราแสดงปมด้อย เราอาจดูเหมือนกำลังถ่อมตน แต่บ่อยครั้งนี่เป็นกลยุทธ์แยบยลของอัตตาเพื่อสร้างความรู้สึกเหนือกว่าในอีกรูปแบบหนึ่ง

ตัวอย่างเช่น นักศึกษาที่พูดว่า “ฉันไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยสำหรับการสอบนี้” ทั้งๆ ที่เธออ่านหนังสือมาหลายวัน เมื่อได้คะแนนดี เพื่อนๆ จะประทับใจมากขึ้นและมองว่าเธอมีความสามารถพิเศษ (“ไม่ต้องอ่านก็ทำได้ดี”) คนที่ถ่อมตนเช่นนี้จึงได้ความชื่นชมมากกว่าคนที่บอกตรงๆ ว่าตั้งใจเรียน

การแสดงปมด้อยเป็นการเรียกร้องความสนใจและคำชมเชยในทางอ้อม บางครั้งยังเป็นการป้องกันตัวเองล่วงหน้า—ถ้าล้มเหลว เราก็มีข้ออ้างไว้แล้ว (“ก็บอกแล้วว่าฉันไม่เก่ง”) ซึ่งเป็นวิธีที่อัตตาปกป้องตัวเองจากความรู้สึกไม่ดีพอ

การแสดงปมเด่นเป็นวิธีที่อัตตาใช้ปกป้องตัวเองจากความรู้สึกไม่มั่นคงหรือไม่ดีพอ โดยการโอ้อวดความสามารถหรือคุณสมบัติพิเศษต่างๆ

ตัวอย่างเช่นเพื่อนที่เพิ่งซื้อรถยนต์ราคาแพงและพูดถึงมันในทุกการสนทนา ทั้งๆ ที่ไม่มีใครถาม อาจสะท้อนถึงความกังวลลึกๆ เกี่ยวกับคุณค่าของตัวเอง เขาใช้วัตถุภายนอกสร้างความรู้สึกมีคุณค่าและพยายามยืนยันสถานะของตนเองผ่านสิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ

**สิ่งที่น่าสนใจคือทั้งการแสดงปมด้อยและปมเด่นล้วนเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน:

  • การแสดงปมด้อยมักซ่อนความต้องการการยอมรับและชื่นชมในรูปแบบที่แยบยล
  • การแสดงปมเด่นเป็นความพยายามที่ชัดเจนกว่าในการได้รับการยอมรับและความชื่นชม

ทั้งสองกรณี อัตตากำลังแสวงหาทางออกจากความกลัวลึกๆ ว่าตนเองอาจไม่มีคุณค่าหรือไม่ดีพอ จึงสร้างกลไกเหล่านี้เพื่อปกป้องและสร้างความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยการถ่อมตนจนได้รับการยกย่องหรือการโอ้อวดจนได้รับการยอมรับ

ชื่อเสียงคือภาพลวงตาของความเหนือกว่า นี่เป็นเหตุผลที่ผู้คนใฝ่ฝันอยากมีชื่อเสียง การได้รับการยอมรับจากสังคมในวงกว้างตอบสนองความต้องการของอัตตาที่จะรู้สึกพิเศษกว่าคนทั่วไป

อัตตารักการเป็นฝ่ายถูกเสมอ นี่เป็นวิธีที่อัตตาชอบใช้ในการยืนยันการมีตัวตน และคนส่วนใหญ่ชอบเชื่อว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก แต่เป็นไปได้หรือที่โลกนี้จะมีแต่คนที่คิดถูกเท่านั้น?

หากพิจารณาตามความหมายของการบ่น ทุกครั้งที่เราบ่น แท้จริงแล้วเรากำลังเชื่อว่า “ตัวฉันถูกและคนอื่นหรือสิ่งอื่นผิด” การบ่นจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่อัตตาใช้ตอกย้ำความเหนือกว่า

อัตตาปรารถนาที่จะโดดเด่น ได้รับการยอมรับ คำชมเชย หรือความชื่นชม จึงแสดงออกผ่านพฤติกรรมต่างๆ เช่น การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แปลกตาโดดเด่น หรือการสักลวดลายทั่วร่างกาย เพื่อดึงดูดสายตาและการยอมรับจากผู้อื่น

การตระหนักรู้ (awareness) คือก้าวแรกของการลดบทบาทอัตตา เมื่อเราเริ่มสังเกตเห็นรูปแบบของอัตตาในชีวิตประจำวัน เราจะสามารถเผชิญกับความกลัวและความไม่มั่นคงในใจได้อย่างตรงไปตรงมามากขึ้น


เมื่อเรารู้สึกไม่สบายใจ เช่น หงุดหงิด โกรธ อิจฉา หรือรู้สึกอยากโดดเด่นกว่าใครบางคน… ให้หยุดสักนิด แล้วถามตัวเองว่า “ตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกอะไร?” แล้วระบุอารมณ์ความรู้สึกนั้นออกมา

ตัวอย่างคำอารมณ์ความรู้สึก:

  • โกรธ / น้อยใจ / หวาดกลัว / อิจฉา / ว่างเปล่า / ตื่นเต้น / สงสัย
  • อยากให้เขาเห็นคุณค่าเรา / รู้สึกถูกเมิน / อยากเป็นที่ยอมรับ

แค่ ตั้งชื่อ อารมณ์ ก็ช่วยให้เราถอยออกจากมันได้ครึ่งก้าวแล้ว (เพราะเรา รู้ว่าเรากำลังรู้สึกอะไร ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์พาเราไป)

หลังจากที่เราระบุอารมณ์ได้แล้ว ลองพูดกับตัวเองว่า: “นี่คือความรู้สึกที่ฉันกำลังมี ไม่ใช่สิ่งที่ฉันเป็น”

เช่น:

  • ฉัน รู้สึกอิจฉา (แต่ฉันไม่ใช่คนแย่)
  • ฉัน รู้สึกอยากได้รับการยอมรับ (แต่มันไม่ได้แปลว่าฉันไม่มีคุณค่า)

การฝึกแบบนี้จะทำให้เรา ไม่ติดตัวตนกับอารมณ์ และไม่ปล่อยให้อัตตาควบคุมพฤติกรรมเรา

เริ่มต้นด้วยการสังเกตว่าตัวเองกำลังเปรียบเทียบอยู่หรือไม่ เช่น คิดว่า “ฉันดีกว่าเขา” หรือ “ทำไมเขาได้สิ่งนั้นแต่ฉันไม่ได้?” แค่การรู้ทันเสียงนั้น ก็เป็นจุดเริ่มต้นของ Self-awareness

ทำสิ่งนี้เพื่ออะไร? อยากได้คำชม อยากรู้สึกว่าตัวเองดีกว่า? ถ้าใช่ นั่นคืออัตตากำลังทำงาน ลองหันกลับมาถามตัวเองว่า อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงที่เราอยากสร้าง?

แทนที่จะมองหาการยืนยันจากภายนอก (ยอดไลก์ คำชม ตำแหน่ง) ลองถามตัวเองว่า “ฉันภูมิใจในสิ่งที่ฉันเป็นหรือยัง?” โดยไม่ต้องเทียบกับใคร

บ่อยครั้งที่อัตตาเกิดจากการรู้สึกว่า “เรายังไม่ดีพอ” การฝึกพูดกับตัวเองอย่างอ่อนโยน เช่น “ไม่เป็นไรที่เรารู้สึกแบบนี้ มนุษย์ทุกคนก็เคยรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน”

ช่วยคลายความรู้สึกที่อยากเหนือกว่า หรืออยากพิสูจน์ตัวเอง เพราะเรากำลัง ยอมรับตัวเอง โดยไม่ต้องเปรียบเทียบ


บทสรุป อัตตาไม่ใช่ศัตรู…แต่มันคือเงา ที่จะอยู่จนกว่าเราจะเปิดไฟแห่งการตระหนักรู้ตนเอง เมื่อเราเข้าใจ 8 กับดักของอัตตา (Ego) และวิธีใช้ Self-awareness เพื่อรู้เท่าทันใจตัวเอง ก็จะช่วยให้เราเข้าใจว่าเมื่อเราฝึก Self-awareness อย่างสม่ำเสมอ เช่น การระบุอารมณ์ (ถ้าเราไม่รู้เท่าทันอารมณ์ มันจะควบคุมเรา) การฝึกเรียกชื่ออารมณ์ความรู้สึก = การหยุดวงจรอัตตาได้ตรงจุดที่สุด เป็นต้น ช่วยให้บทบาทของอัตตาเบาบางลงได้

เราจะเริ่มรู้ว่าคุณค่าที่แท้จริงของเรานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบหรือการยอมรับจากคนอื่นเลย ในความเงียบสงบของใจ เราจะได้เจอตัวเราที่แท้จริง — และนั่นคืออิสรภาพที่อัตตาให้ไม่ได้ 

Picture of Armer Khanachang

Armer Khanachang

Founder at SELminder,

บทความล่าสุด

12 เทคนิคบริหารเวลา แบบคนจัดการตัวเองเก่ง
12 เทคนิคบริหารเวลา แบบคนจัดการตัวเองเก่ง

12 เทคนิคบริหารเวลา แบบคนจัดการตัวเองเก่ง ไม่เพียงแค่ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น แต่ยังฝึกให้คุณจัดการตัวเองได้อย่างมีวินัย และตระหนักรู้ตนเอง

4 เฟสการฟังอย่างตั้งใจ
4 เฟสการฟังอย่างตั้งใจ

ใการฟังอย่างตั้งใจไม่ใช่แค่ “การได้ยินคำพูด” แต่คือ การเชื่อมโยงกับผู้พูดด้วยใจจริง และนี่คือ 4 เฟสการฟังอย่างตั้งใจ

ทักษะการยอมรับ (Acceptance)
ทักษะการยอมรับ (Acceptance)

“ยอมรับ” คำง่ายๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม แต่กลับเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการอารมณ์และความเครียดในชีวิตประจำวัน : ทักษะการยอมรับ (Acceptance)