4 เฟสการฟังอย่างตั้งใจ


การฟังอย่างตั้งใจถือเป็นทักษะสำคัญที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้เข้าใจเนื้อหา แต่ยังส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้พูดและผู้ฟังด้วย หนังสือ Productive Group Work โดยคุณ Douglas B. Fisher และ Nancy Frey ได้นำเสนอแนวทางที่ช่วยให้ผู้ฟังสามารถแสดงออกถึงความตั้งใจฟังอย่างแท้จริง พร้อมทั้งช่วยให้โฟกัสกับบทสนทนาได้ดียิ่งขึ้น

แนวทางทั้ง 4 ที่ผู้เขียนแนะนำนี้ ไม่เพียงช่วยพัฒนา “ทักษะการฟัง” แต่ยังสอดคล้องกับหลักการของการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ (Social and Emotional Learning: SEL) โดยเฉพาะในด้าน ความตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness) ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจอารมณ์และพฤติกรรมของตนเองขณะฟัง และ ทักษะความสัมพันธ์ (Relationship Skills) ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพและการแสดงความเคารพต่อผู้อื่นในทุกครั้งที่เราฟัง

บทความนี้ #SELminder อยากชวนมาฝึกใช้เทคนิคทั้ง 4 ข้อต่อไปนี้ เพื่อพัฒนาทั้งการสื่อสารและความเข้าใจในระดับลึก ทั้งต่อตัวเราเองและผู้อื่น



4 เฟสการฟังอย่างตั้งใจ

ภาษากายเป็นองค์ประกอบสำคัญของการฟังอย่างตั้งใจ เพราะสามารถสื่อสารได้โดยไม่ต้องพูดออกมา ผู้พูดจะรับรู้ได้ทันทีว่า “คุณกำลังใส่ใจและมีส่วนร่วมกับบทสนทนานี้อยู่จริงๆ”

  • การสบตา: การสบตากับผู้พูดอย่างสม่ำเสมอเป็นสัญญาณสำคัญของความสนใจและความเคารพ ช่วยให้ผู้พูดรู้สึกว่าตนได้รับการรับฟังอย่างแท้จริง
  • การพยักหน้า: การพยักหน้าเป็นจังหวะ ช่วยยืนยันว่าคุณกำลังติดตาม เข้าใจ และมีส่วนร่วมกับสิ่งที่กำลังสื่อสาร
  • ท่าทางเปิด (Open posture): หลีกเลี่ยงการกอดอกหรือไขว้ขา เพราะอาจสื่อถึงการปิดกั้นหรือไม่เปิดรับ ควรนั่งหรือยืนในท่าที่ผ่อนคลาย แขนวางสบาย เปิดเผยลำตัว แสดงถึงความเปิดใจและพร้อมรับฟัง
  • การโน้มศีรษะไปข้างหน้าเล็กน้อย (ในบางช่วง): เป็นสัญญาณที่แสดงว่าคุณกำลังสนใจอย่างจริงจัง และต้องการเข้าใจสิ่งที่ผู้พูดต้องการสื่อ
  • การเว้นระยะห่างที่เหมาะสม: รักษาระยะห่างจากผู้พูดในระดับที่เหมาะสม ไม่ใกล้เกินไปจนรู้สึกอึดอัด และไม่ไกลจนดูห่างเหิน (*ระยะห่างที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม แต่ควรคำนึงถึงความสบายใจของทั้งสองฝ่ายเสมอ)
  • หลีกเลี่ยงการขยับตัวบ่อยๆ: เช่น การเล่นปากกา หรือมองมือถือ เพราะเป็นสัญญาณของความไม่ใส่ใจ การนิ่งและเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะ จะช่วยสะท้อนความตั้งใจและความเคารพต่อผู้พูด


ภาษากายกับ SEL – มากกว่าการฟัง คือการเชื่อมใจ

ภาษากายไม่ได้เป็นเพียงท่าทางภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนถึงความตั้งใจ การรับรู้ และความเคารพต่อผู้พูดอย่างลึกซึ้ง ท่าทางเล็กๆ เช่น การสบตา การพยักหน้า หรือการโน้มตัวเข้าหา ล้วนมีพลังในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างบุคคล และทำให้การสื่อสารเป็นมากกว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูล

จากมุมมองของการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ (SEL) การใช้ภาษากายอย่างมีสติ ช่วยเสริมสร้างทักษะสำคัญหลายด้าน ได้แก่

  • การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness): เรารู้ตัวว่าร่างกายของเราส่งผลต่อการรับรู้ของผู้อื่น
  • การจัดการตนเอง (Self-Management): เราควบคุมพฤติกรรมและท่าทางเพื่อลดสิ่งรบกวนขณะรับฟัง
  • การตระหนักรู้ทางสังคม (Social Awareness): เราใส่ใจความรู้สึกและบริบทของผู้พูด
  • ทักษะความสัมพันธ์ (Relationship Skills): เราสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจร่วมผ่านภาษากายที่แสดงออกอย่างจริงใจ

การกระตุ้นให้พูดต่อ หรือ Encouragement คือการส่งสัญญาณให้ผู้พูดรู้ว่า “ฉันกำลังฟังอยู่ และอยากฟังต่อ” โดยอาจเป็นการแสดงออกผ่านคำพูด (verbal) หรือท่าทาง (nonverbal) ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญของ “ผู้ฟังที่มีคุณภาพ”

คำพูดสั้น ๆ ที่แสดงถึงการมีส่วนร่วม:

  • “อืม…” “อ๋อเหรอ…” “อุ๊ย!”
  • “แล้วเป็นยังไงต่อ?”
  • “เล่าจุดนี้หน่อยสิ น่าสนใจมากเลย”

ภาษากายที่สื่อถึงความสนใจ:

  • การโน้มตัวเข้าหาเบา ๆ ขณะฟัง
  • สีหน้าและแววตาที่เคลื่อนไหวไปตามเรื่องราว เช่น ยิ้ม ตกใจ สงสัย

สัญญาณเหล่านี้เมื่อแสดงออกอย่างจริงใจ จะช่วยสร้าง บรรยากาศที่ปลอดภัยและเป็นมิตร ทำให้ผู้พูดรู้สึกว่าเสียงของตนมีความหมาย ได้รับการยอมรับ และอยากเล่าเรื่องราวต่อไป


การสะท้อนคำพูด หรือการสะท้อนความรู้สึก เป็นทักษะสำคัญของการฟังเชิงลึก (deep listening) ที่ช่วยให้ผู้พูดรู้สึกว่า “เสียงของฉันมีความหมาย” และได้รับความเข้าใจอย่างแท้จริง

การสะท้อนคำพูด (Re-stating):
คือการที่ผู้ฟังสรุปใจความสำคัญ (key message) ที่ผู้พูดต้องการสื่อ โดยใช้ภาษาที่กระชับ เข้าใจง่าย และแสดงออกในแบบของผู้ฟังเอง เช่น:

  • “ถ้าให้สรุปคือคุณรู้สึกว่า…”
  • “ประเด็นสำคัญคือคุณต้องการสื่อคือ…”
  • “ผม/ดิฉันเข้าใจถูกไหม คุณกำลังพูดว่า…”
  •  

การสะท้อนความรู้สึก (Reflecting Emotions):
คือการช่วยให้ผู้พูดเห็นและเข้าใจอารมณ์ของตนเองชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจเป็นความรู้สึกที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่ทันรู้ตัว เช่น:

  • “คุณฟังดูผิดหวังมากกับเรื่องนี้…”
  • “ฟังดูเหมือนว่าคุณรู้สึกไม่มั่นใจ…”
  • “คุณกำลังรู้สึกว่า…”

ทำไมการสะท้อนถึงสำคัญมาก? เพราะมันช่วยยืนยันว่าเราเข้าใจสิ่งที่ผู้พูดต้องการสื่ออย่างถูกต้อง ช่วยให้ผู้พูดตระหนักรู้สิ่งที่ตนเองคิดและรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น และยังส่งเสริมการพูดต่อในบรรยากาศที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ


การทำให้ชัดเจน คือกระบวนการที่ผู้ฟังตั้งคำถามย้อนกลับไปยังผู้พูด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองได้ยินและเข้าใจนั้นตรงกับสิ่งที่ผู้พูดต้องการจะสื่อจริง ๆ หรือไม่ เทคนิคนี้ช่วยลดความคลุมเครือในการสื่อสาร และช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งและตรงกันมากยิ่งขึ้น

การถามเพื่อให้เกิดความชัดเจน ไม่ได้หมายถึงการจับผิด แต่คือการแสดงความใส่ใจ และให้เกียรติผู้พูดด้วยการพยายามเข้าใจสิ่งที่เขาสื่อให้ดีที่สุด

ตัวอย่างประโยคที่ใช้ถามเพื่อความชัดเจน:

  • “คุณกำลังจะบอกว่า ประเด็นสำคัญคือ… ใช่ไหม?”
  • “ถูกต้องไหมถ้าผมจะพูดว่า…?”
  • “คุณหมายถึงอะไรตอนที่คุณพูดว่า…?”

ความเข้าใจที่ชัดเจนเป็นพื้นฐานของการตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Decision-Making) โดยเฉพาะเมื่อต้องตอบสนองหรือดำเนินการต่อจากสิ่งที่ได้รับฟัง และการกล้าถามเพื่อความเข้าใจ การให้ความเคารพ และการไม่ด่วนสรุป ยังช่วยให้ความสัมพันธ์มีความจริงใจและมั่นคงมากขึ้น


บทสรุป —การฟังอย่างตั้งใจ เป็นทักษะการสื่อสารที่ทรงพลัง ซึ่งสามารถยกระดับความเข้าใจ สร้างความไว้วางใจ และส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในบริบทของที่ทำงานหรือพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางความคิดและประสบการณ์

เมื่อเราให้ความสำคัญกับ 4 เฟสการฟังอย่างตั้งใจ
ภาษากายที่เปิดกว้าง
การส่งเสริมให้ผู้พูดรู้สึกมีคุณค่า
การสะท้อนคำพูดและความรู้สึก
การตั้งคำถามเพื่อให้เกิดความชัดเจน

การฟังอย่างตั้งใจจึงไม่ใช่แค่ “การได้ยินคำพูด” แต่คือ การเชื่อมโยงกับผู้พูดด้วยใจจริง เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้อื่นรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า มีคนรับฟัง และมีสิทธิ์ในการถูกเข้าใจ การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง พร้อมการนำทักษะ SEL เข้ามาสนับสนุน จะช่วยเสริมสร้างทักษะการสื่อสารที่ชัดเจนและจริงใจ ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และวัฒนธรรมการทำงานที่ร่วมมือและเป็นบวก

Picture of Armer Khanachang

Armer Khanachang

Founder at SELminder,

บทความล่าสุด

12 เทคนิคบริหารเวลา แบบคนจัดการตัวเองเก่ง
12 เทคนิคบริหารเวลา แบบคนจัดการตัวเองเก่ง

12 เทคนิคบริหารเวลา แบบคนจัดการตัวเองเก่ง ไม่เพียงแค่ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น แต่ยังฝึกให้คุณจัดการตัวเองได้อย่างมีวินัย และตระหนักรู้ตนเอง

4 เฟสการฟังอย่างตั้งใจ
4 เฟสการฟังอย่างตั้งใจ

ใการฟังอย่างตั้งใจไม่ใช่แค่ “การได้ยินคำพูด” แต่คือ การเชื่อมโยงกับผู้พูดด้วยใจจริง และนี่คือ 4 เฟสการฟังอย่างตั้งใจ

ทักษะการยอมรับ (Acceptance)
ทักษะการยอมรับ (Acceptance)

“ยอมรับ” คำง่ายๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม แต่กลับเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการอารมณ์และความเครียดในชีวิตประจำวัน : ทักษะการยอมรับ (Acceptance)