ภูเขาน้ำแข็งของการตระหนักรู้ในตนเอง

ภูเขาน้ำแข็งของการตระหนักรู้ในตนเอง


เพื่อเข้าใจการตระหนักรู้ในตนเองอย่างถ่องแท้ เราต้องสำรวจไม่เพียงแค่สิ่งที่เห็น แต่ยังรวมถึงชั้นที่ซ่อนอยู่ข้างใต้อีกด้วย เปรียบเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนความลึกใต้ผิวน้ำ…

การตระหนักรู้ในตนเอง หรือ Self-awareness คือรากฐานที่สำคัญที่สุดในกระบวนการพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคม (Social and Emotional Learning หรือ SEL) และเป็นตัวที่เชื่อมโยงไปสู่ทักษะการจัดการตนเอง (Self-management) การตระหนักรู้ทางสังคม (Social awareness) การสร้างความสัมพันธ์ (Relationship skills) และการตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible decision-making)

บทความนี้ ผมมาชวนสำรวจกันว่าการตระหนักรู้ในตนเองคืออะไร – ทั้งในมิติของสิ่งที่เราเห็นและสิ่งที่เราไม่เห็น


ที่ผิวน้ำการตระหนักรู้ในตนเองมักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งประกอบด้วยลักษณะที่มองเห็นดังนี้:

  1. พฤติกรรม การกระทำของเราคือกระจกสะท้อนค่านิยมภายใน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเครียด คนที่มีความตระหนักรู้จะสังเกตเห็นความคิด/ความรู้สึก “Pop-up” ที่ผุดขึ้นมา และเลือกตอบสนองอย่างมีสติ แทนการปล่อยให้อารมณ์ควบคุม
  2. ปฏิกิริยาตอบกลับ วิธีรับมือกับความท้าทายเป็นเครื่องชี้วัดความสามารถในการควบคุมอารมณ์ การสังเกต “ตัวกระตุ้น (Triggers )” ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางความคิด/อารมณ์ คือก้าวแรกสู่การพัฒนาตนเอง
  3. ภาษากาย ท่าทางทางกายภาพของคุณสะท้อนถึงสภาพอารมณ์ของคุณได้อย่างชัดเจน การมีภาษากายที่มั่นคงและเป็นมิตร สะท้อนถึงการจัดการอารมณ์ที่ถูกฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญ
  4. การมีปฏิสัมพันธ์ ความตระหนักรู้ในตนเองชัดเจนในวิธีที่คุณฟัง พูดคุย และปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์และผู้คนรอบข้าง

ถึงแม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่เป็นประตูสู่การค้นพบตัวตนที่แท้จริง


ระดับของความตระหนักรู้ในตนเอง ถูกจัดเรียงโดยเริ่มจากระดับผิวเผิน (ระบุได้ง่ายกว่า) ไปจนถึงระดับที่ลึกที่สุด (ซับซ้อนและมองย้อนเข้าไปในตัวเองมากที่สุด) โครงสร้างการจัดเรียงนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Daniel Goleman’s Emotional Intelligence Framework, Johari Window Model และ Mindfulness Practices

  1. อารมณ์ภายใน (Inner Emotions)
    โดยปกติแล้ว การรู้จักอารมณ์เป็นจุดเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดในการตระหนักรู้ในตนเอง เนื่องจากอารมณ์มักจะเกิดขึ้นทันทีและสังเกตเห็น เช่น เมื่อคุณรู้สึกหงุดหงิด การถามตัวเองว่า ‘ความรู้สึกนี้มาจากไหน?’
  2. ตัวกระตุ้นทางอารมณ์ (Personal Triggers)
    การระบุสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์ เป็นขั้นตอนที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เนื่องจากเราต้องสังเกตตัวกระตุ้นในช่วงเวลาหนึ่งเชื่อมโยงกับอารมณ์ภายใน เช่น เมื่อใดที่เราอยู่ในสถานการณ์ที่มีการพูดหยาบคาย มักกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกหงุดหงิดและอารมณ์เสีย เป็นต้น การรับรู้ตัวกระตุ้นอารมณ์จะช่วยให้เราจัดการกับปฏิกิริยาเหล่านั้นได้อย่างสร้างสรรค์มากขึ้น
  3. รูปแบบความคิด (Thought Patterns)
    การตรวจสอบว่าความคิดของคุณส่งผลต่อการตัดสินใจและพฤติกรรมอย่างไรนั้น  ต้องเปลี่ยนจากการสังเกตอารมณ์เป็นการวิเคราะห์กระบวนการทางจิต ซึ่งอาจจะละเอียดอ่อนกว่าระดับบน
  4. ความอึดอัดที่ไม่ได้พูดบอก (Unspoken Struggles)
    การยอมรับความอึดอัดภายใน เช่น ความเครียด ความไม่มั่นใจ หรือความสงสัยในตนเอง ต้องอาศัยการทบทวนตนเองมากกว่าการรับรู้ในระดับผิวเผินแล้ว
  5. ประสบการณ์ในอดีต (Past Experiences)
    อดีตคือ “ครูของชีวิต” ที่มอบบทเรียนอันมีค่า การเข้าใจว่าเหตุการณ์ในอดีตส่งผลต่อตนเองในปัจจุบันอย่างไรนั้นต้องทบทวนความทรงจำและเผชิญหน้ากับอารมณ์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก
  6. ค่านิยมและความเชื่อ (Values and Beliefs)
    การรู้จักค่านิยมและความเชื่อของตนเองอย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้คุณดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกับสิ่งที่คุณต้องการ ซึ่งต้องใช้การใคร่ครวญ สำรวจ และทบทวนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
  7. อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม (Cultural Identity)
    วัฒนธรรมมีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมความคิดและพฤติกรรมของเรา การตระหนักถึงอิทธิพลของการเลี้ยงดู ภูมิหลังครอบครัว และเพศหรือเชื้อชาติ จะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองได้ดียิ่งขึ้น และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้อย่างเหมาะสม
  8. อคติที่ไม่รู้ตัว (Unconscious Biases)
    อคติเปรียบเสมือนเงาที่คอยปกคลุมการรับรู้ การระบุอคตินั้นต้องอาศัยการทบทวนตนเองอย่างมาก เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อที่หยั่งรากลึกซึ่งเกิดจากการขาดการตระหนักรู้ในตนเอง ดังนั้น การเรียนรู้ที่จะรับรู้และจัดการกับอคติจะช่วยให้คุณเป็นคนที่เปิดใจและเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น
  9. ศักยภาพในการเติบโต (Capacity for Growth)
    การตระหนักว่าตนเองอยู่ตรงไหนในตอนนี้ และมองเห็นว่าเราต้องการไปที่ไหน ไม่ได้หมายถึงแค่การเข้าใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงจังอีกด้วย ซึ่งเป็นระดับที่ลึกที่สุดของการตระหนักรู้ในตนเอง เนื่องจากต้องบูรณาการชั้นอื่นๆ ทั้งหมดเข้าด้วยกัน


ความตระหนักรู้ในตนเองไม่ใช่แค่ทักษะส่วนบุคคล แต่เป็นพื้นฐานสำคัญของความสำเร็จในวิชาชีพและความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ต่อไปนี้คือเหตุผลที่ความตระหนักรู้ในตนเองมีความสำคัญ

1. มีการจัดการตนเองที่มีประสิทธิภาพ

ความตระหนักรู้ในตนเองเป็นรากฐานของการจัดการตนเอง (Self-Management) การรับรู้อารมณ์และตัวกระตุ้นของตัวเองช่วยให้คุณสามารถควบคุมพฤติกรรม รักษาสมาธิต่อเป้าหมาย และมีความยืดหยุ่นเมื่อเผชิญกับความท้าทาย

2. ตระหนักรู้ทางสังคมที่เพิ่มขึ้น

การเข้าใจโลกภายในของตัวเองช่วยให้คุณเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้น (Social awareness) เมื่อคุณตระหนักถึงอารมณ์ของตัวเอง คุณจะสามารถรับรู้อารมณ์และเคารพความรู้สึกของคนรอบข้างได้ง่ายขึ้น  ซึ่งนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

3. ความสัมพันธ์ที่มั่นคงยิ่งขึ้น

ความตระหนักรู้ในตนเองช่วยพัฒนาการสื่อสารและความไว้วางใจ (Relationship skills) โดยการเข้าใจความต้องการและลักษณะนิสัยของตัวเอง คุณจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้น แก้ไขความขัดแย้ง และเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้อย่างมีความหมาย

4. การตัดสินใจที่ดีขึ้น

เมื่อคุณเข้าใจอารมณ์ ค่านิยม และอคติของตัวเอง คุณจะสามารถตัดสินใจได้สอดคล้องกับเป้าหมายและมาตรฐานทางจริยธรรมของคุณ ความชัดเจนนี้ช่วยลดการตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น และส่งเสริมการกระทำที่รอบคอบมากขึ้น (Responsible decision-making)

5. ความยืดหยุ่นทางอารมณ์

การยอมรับปัญหาและการจัดการตัวกระตุ้นภายใน ช่วยสร้างความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (Emotional Resilience) ซึ่งช่วยให้คุณสามารถจัดการกับอุปสรรคได้อย่างไม่บอบช้ำจนเกินไป และกลับมาเข้มแข็งมากกว่าเดิม

6. ความสามารถในการทำงานร่วมกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย

การตระหนักถึงอคติและอิทธิพลทางวัฒนธรรมของตัวเองช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ทักษะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างสูงในปัจจุบัน (Cultural Competence)


หากการมีความตระหนักรู้ในตนเองเปรียบเสมือนการเดินทาง คุณจะเริ่มต้นหรือพัฒนาให้ลึกซึ้งขึ้นได้อย่างไร? นี่คือขั้นตอนปฏิบัติที่ช่วยให้คุณเดินหน้าสู่เป้าหมาย:

1.ฝึกสติ (Mindfulness)

ใช้เวลาสักไม่กี่นาทีในแต่ละวันเพื่อสังเกตความคิดและอารมณ์ของตัวเองโดยไม่ตัดสิน การฝึกนี้ช่วยให้คุณตื่นตัวและเชื่อมโยงกับโลกภายในของคุณมากขึ้น

2. ขอความคิดเห็นจากผู้อื่น

ขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท หรือที่ปรึกษาที่คุณไว้วางใจ เพื่อรับฟังความคิดเห็นที่จริงใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของคุณ และใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อปรับปรุงมุมมองต่อตัวเอง

3. สะท้อนตนเองเป็นประจำ

จัดเวลาสำหรับการทบทวนตัวเอง ลองเขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะช่วงเวลาที่อารมณ์ ความคิด หรือการกระทำของคุณชัดเจนมากๆ

4. ระบุสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์ (Triggers)

สังเกตสถานการณ์ที่ทำให้คุณมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่รุนแรง การเข้าใจตัวกระตุ้นเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถจัดการกับมันได้ดีขึ้น

5. ปรับตัวให้สอดคล้องกับค่านิยมของคุณ

ทบทวนค่านิยมหลักของคุณเป็นระยะ และประเมินว่าการกระทำของคุณสอดคล้องกับค่านิยมเหล่านั้นหรือไม่ หากยังไม่สอดคล้อง ให้กำหนดจุดที่ต้องปรับปรุง

6. สำรวจอิทธิพลทางวัฒนธรรม

พิจารณาว่าภูมิหลังและประสบการณ์ในชีวิตของเราส่งผลต่อมุมมองและพฤติกรรมอย่างไร และพยายามเปิดใจรับความคิดเห็นหรือมุมมองที่หลากหลาย


บทสรุป —การดำดิ่งลึกลงสู่ตัวตนภายใน

การเดินทางสู่การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness) ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องของการเรียนรู้และเติบโต สิ่งสำคัญไม่ใช่ความสมบูรณ์ แต่คือความมุ่งมั่นในการเข้าใจตนเอง เพราะทุกครั้งที่คุณสำรวจชั้นลึกของจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความคิด หรือค่านิยม – คุณกำลังปลดปล่อยศักยภาพที่ถูกซ่อนเร้นมานาน

เพราะรางวัลของการเดินทางนี้ไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย แต่อยู่ในกระบวนการเรียนรู้ตัวเองอย่างลึกซึ้ง – นั่นคือความเติบโตที่แท้จริง

References:

Daniel Goleman’s Emotional Intelligence Framework. Retrieved from: https://danielgolemanemotionalintelligence.com/ei-overview-the-four-domains-and-twelve-competencies

Johari Window Model. Retrieved from: https://www.communicationtheory.org/the-johari-window-model

Mindfulness Practices. Retrieved from: https://positivepsychology.com/emotional-intelligence-frameworks

Picture of Armer Khanachang

Armer Khanachang

Founder at SELminder,

บทความล่าสุด

12 เทคนิคบริหารเวลา แบบคนจัดการตัวเองเก่ง
12 เทคนิคบริหารเวลา แบบคนจัดการตัวเองเก่ง

12 เทคนิคบริหารเวลา แบบคนจัดการตัวเองเก่ง ไม่เพียงแค่ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น แต่ยังฝึกให้คุณจัดการตัวเองได้อย่างมีวินัย และตระหนักรู้ตนเอง

4 เฟสการฟังอย่างตั้งใจ
4 เฟสการฟังอย่างตั้งใจ

ใการฟังอย่างตั้งใจไม่ใช่แค่ “การได้ยินคำพูด” แต่คือ การเชื่อมโยงกับผู้พูดด้วยใจจริง และนี่คือ 4 เฟสการฟังอย่างตั้งใจ

ทักษะการยอมรับ (Acceptance)
ทักษะการยอมรับ (Acceptance)

“ยอมรับ” คำง่ายๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม แต่กลับเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการอารมณ์และความเครียดในชีวิตประจำวัน : ทักษะการยอมรับ (Acceptance)